THE VOYAGERS
(เรา..ผู้มาเยือนจากแดนไกล)
เรื่องราวความจริงการเดินทางของรูปธรรมขั้นสูงที่มีชีวิตกลุ่มหนึ่ง
เรื่องราวที่อาจไกลเกินกว่าปัญญาญาณที่มีขีดจำกัดของมนุษย์โลกจะเข้าถึงได้
(HOME) บ้าน
ณ ช่วงเวลาหนึ่งของกาลเวลา อาจหมายถึงช่วงเวลาเมื่อ 5,000 ปีผ่านมาแล้ว หรือบางทีหมายถึงเวลาที่กำลังจะมาถึงในอนาคตอันใกล้! สถานที่ที่แตกต่างไปจากเอกภพและจากมิติที่เราอาศัยอยู่นี้ มีเผ่าพันธ์หนึ่งที่มีชีวิตและมีจิตสำนึก ผู้ซึ่งบริสุทธิ์และเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้แห่งสัจจะ สถิตย์อาศัยอยู่ในดินแดนสันติสุขสงบ เป็นโลกซึ่งมีธรรมชาติแตกต่างอย่างมากกับโลกที่เราอาศัยอยู่นี้ ที่นั่น…คือโลกแห่งแสง!
สิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีชื่อเรียกว่า “ซาลิแกรม” สถิตอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรแห่งแสงสีแดงทองอันบริสุทธิ์ ล่องลอยอยู่ในโลกแห่งแสงดั่งเช่นฝูงปลาที่ลอยตัวอยู่ในทะเลแห่งความเงียบสงบฉันนั้น สิ่งมีชีวิตนี้ได้เข้าถึงสภาวะแห่งความสมบูรณ์พร้อมแห่งจิตบริสุทธิ์ ไร้ซึ่งความปรารถนาต่อสถานที่แห่งใดๆ เหล่า“ซาลิแกรม”นี้ มิได้มีร่างกายเนื้อและกระดูกดั่งเช่นที่มนุษย์เรามี แต่พวกเขาเป็นดั่งเช่นแสงที่สมบูรณ์ ดั่งจุดแสงของดวงดาวที่แสนเล็กละเอียดอ่อน แต่ทว่าเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งจิตและปัญญาญาณ เป็นจุดแสงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะในแต่ละดวงที่ได้ถูกพัฒนาให้สมบูรณ์แท้แล้ว เหล่าซาลิแกรมทั้งหลายจึงล่องลอยอยู่ท่ามกลางทะเลแห่งแสงที่เงียบสงบอย่างสง่างามปีติสุข ดั่งเช่นกลุ่มดาวบนสรวงสวรรค์
ซาลิแกรมแต่ละดวงมิได้มีพลังแสงเปล่งประกายออกมาเท่ากัน บ้างก็มีรัศมีแสงที่แรงและมีพลังมาก บ้างก็มีแสงกระพริบอ่อนแรง ซาลิแกรมที่มีพลังมากกว่าจะจัดเรียงอยู่ส่วนยอดด้านบนเรียงร้อยไล่ลงมาตามลำดับ ปรากฏรูปทรงวิจิตรสวยงามดั่งสายสร้อยเพชรที่ประดับคล้องคอ และที่เหนือยอดกึ่งกลางบนสุดของเหล่าซาลิแกรมทั้งหมด มีแสงแห่งชีวิตที่เปล่งแสงทรงพลังที่สุด เป็นแสงแห่งความสงบอบอุ่นล้ำลึก เป็นแสงแห่งดุลยภาพก่อให้เกิดความสมดุลสอดคล้องแก่ทั้ง 3 โลก เหล่าซาลิแกรมดวงน้อยทั้งหลายจะจัดเรียงรายล้อมประภาคารแห่งแสงนี้ไว้ เพราะด้วยพลังแห่งประภาคารแสงนี้มีแรงดึงดูดเหล่าซาลิแกรมทั้งหลายไว้ดั่งพลังของแม่เหล็กนั่นเอง
เหล่าประชากรซาลิแกรมอาศัยอยู่ในธาตุบราห์ม ซึ่งเป็นธาตุแสงที่ทรงพลังและบริสุทธิ์สวยงามที่สุดในทั้ง 3 โลก ธาตุบราห์มมีคุณลักษณะเป็นแสงสีแดงทองอร่าม บนยอดสุดของกลุ่มซาลิแกรมคือ ประภาคารแห่งแสงที่ทรงพลังส่องประกายหล่อเลี้ยงซาลิแกรมอย่างต่อเนื่อง ท่านเป็นแสงแห่งสัจจะ ทรงไว้ซึ่งความเป็นผู้รู้ทุกสรรพสิ่งของจักรวาลและทั้ง 3 โลก ท่านรู้ถึงเรื่องราวความลับที่ลึกที่สุดของเวลาโลกและความลับของสรรพสิ่งและมวลมนุษยชาติ ท่านไปได้ทุกที่ทุกแห่งหนเพราะท่านอยู่เหนือกาลเวลาและพื้นที่ระยะทางทั้งหมด ท่านรู้ถึงอดีต ปัจจุบันและอนาคต กลุ่มซาลิแกรมทั้งหมดล้วนเป็นผู้ที่มีพลังสูงสุดกว่าใครในหล้า หากจะเปรียบซาลิแกรมกับมวลมนุษยชาติแล้ว มนุษย์นั้นเปรียบเหมือนดั่งลิงเท่านั้น และเช่นกันผู้เป็นประภาคารแห่งแสง ผู้เป็นผู้นำของซาลิแกรมท่านเป็นผู้มีใจบริสุทธิ์เมตตาที่สุดจะหาใดเปรียบ ไม่มีแม้ความปรารถนาใดๆ ไม่มีความคิดร้ายใดๆทั้งปวง มีเพียงสิ่งเดียวคือ อยากเห็นจักรวาลแห่งนี้มีแต่สันติสุข ยามใดที่จักรวาลนี้ตกต่ำมีปัญหาร้าย ท่านจะรีบเข้ามาช่วยเหลือค้ำจุนให้กลับคืนสู่สภาวะดั้งเดิมแห่งความสงบสุขอีกครั้ง เพราะท่านคือผู้ที่เมตตาสูงส่งที่สุดใน 3 โลก และนามอันเป็นสิริมงคลของท่านก็คือ “ชีว่า” Shi Vah ซึ่งเหล่าซาลิแกรมทั้งหมดต่างระลึกเสมอว่า “ชีว่า” ท่านคือพ่อของพวกเขา
ความสมดุลในโลกแห่งแสงนี้ อ่อนโยน สงบเงียบและบริสุทธิ์หาที่ใดเปรียบ แต่…เมื่อตามเวลา(Time)ที่เหมาะสมเดินมาถึง! เมื่อนั้นจะมีซาลิแกรมดวงหนึ่งและตามด้วยอีกหลายๆดวง เริ่มตัดสินใจว่าโลกแห่งแสง บ้านแห่งจิตวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพวกเขาดำรงอยู่อย่างสงบเงียบโดยอยู่เหนือความคิดใดๆนั้น บัดนี้ไม่ได้มีอะไรที่น่าสนใจกับพวกเขาอีกต่อไปแล้ว พวกเขาคิดว่ามันน่าจะมีบางสิ่งที่ขาดหายไปในบ้านแห่งนี้ และสิ่งนั่นก็คือ ความสนุกสนานร่าเริง ที่จะเปลี่ยนไปสู่ความสุขนั่นเอง !
ดังนั้น ลูกซาลิแกรมผู้ที่มีพลังแสงกล้าแกร่งกว่าใครๆ จึงได้สื่อสารกับพ่อชีว่า “ลูกอยากไปท่องเที่ยวเปิดโลกทัศน์ไปยังโลกอื่นๆดูบ้าง โปรดอนุญาตให้ลูกและพี่น้องอื่นไปกับลูกส่วนหนึ่ง และเราจะไปปกครองที่ใดที่หนึ่งในอีกมิติข้างนอกนั่น เราอยากได้รับประสบการณ์ใหม่ๆกันบ้าง”
พ่อชีว่าจึงถามลูกผู้ไร้เดียงสาด้วยความขบขัน “ลูกรัก เจ้าจะไปที่ใดกันเล่า?”
“ลูกไม่รู้เหมือนกัน แต่มันคงต้องมีโลกสักแห่งหนึ่งที่น่าจะคุ้มค่าต่อความเพียรที่จะไปค้นหา จริงอยู่..พวกเราอยู่ที่บ้านนี้อย่างมีความสงบนิ่ง แต่พวกเราก็มาไกล ไกลจนลืมไปแล้วว่ามันมีประสบการณ์อะไรบ้าง เราจึงอยากไปสร้างมันขึ้นมาอีกครั้งเพื่อเป็นการเริ่มต้นครั้งใหม่(new beginning) นั่นคือสิ่งที่พวกเราปรารถนา น่ามีสถานที่แบบนั้นใช่มั๊ยท่านพ่อชีว่า สถานที่ที่มีวัตถุธาตุและสภาวะแวดล้อมธรรมชาติที่เหมาะสม?”
พ่อชีว่าหยุดเพียงเสี้ยวขณะ ท่านก็รู้เห็นทุกสิ่งถึงเรื่องราวที่จะดำเนินต่อจากนี้ไป ท่านเป็นดั่งเช่นมหาสมุทรแห่งความรู้ทั้งมวล รู้ถึงวงล้อแห่งพันธสัญญาอันเป็นนิรันดร์กำลังจะเริ่มต้นอีกครั้ง ท่านจึงตอบลูกซาลิแกรมว่า “มีสิลูก…ความปรารถนาของลูกจะได้รับการเติมเต็มในโลกกายหยาบที่มีวัตถุธาตุ สรรพสิ่ง พร้อมๆทั้งผืนดินและดวงดาว” พ่อชีว่า กล่าวต่อ “แต่ส่วนใหญ่ของดาวพระเคราะห์ต่างๆนั้นยังว่างเปล่า มีสิ่งที่ดีอยู่เพียงเล็กน้อย ดำรงอยู่ไว้หลากหลายเพื่อรักษาสมดุลให้กับจักรวาลมีเสถียรภาพไม่พลิกคว่ำ แต่ยังมีดาวดวงหนึ่ง เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างไกลแสนไกล เป็นโลกแห่งกายหยาบมีวัตถุธาตุดำรงอยู่ท่ามกลางมิติทั้ง 4 ที่นั่นเป็นดวงดาวดั่งอัญมณีที่มีสิ่งสวยงามตามที่ลูกร้องขอ ลูกสามารถจะไปพลิกฟื้นให้กลายเป็นโลกแห่งความสุขได้อย่างแท้จริง จงไป ณ ที่แห่งนั้นลูกๆขอพ่อ พากันไปในจำนวนที่พอเหมาะเพียงเพื่อไปก่อตั้งอาณาจักร แต่ลูกจะต้องมีอุปกรณ์ที่เหมาะสมเพื่อที่จะดำรงชีพอยู่ในสถานที่แห่งนั้นด้วย ลูกจำเป็นต้องสวมใส่ชุดอวกาศ และพ่อจะช่วยลูกในทุกๆสิ่ง จงไปตักตวงและแสวงหาประสบการณ์แห่งความสุข สนุกสนาน แต่หากมีสิ่งใดๆผิดพลาด จงเรียกร้องหาพ่อ…และพ่อจะมาช่วยลูกทุกๆสิ่งที่พ่อจะทำได้”
ลูกซาลิแกรมผู้ที่มีพลังแสงแกร่งกล้าที่สุดได้ยินดังนั้น ก็เปล่งประกายแสงด้วยความดีใจ เหล่าซาลิแกรมที่เห็นด้วยก็รีบจัดเตรียมกลุ่มที่จะเดินทางทันที เริ่มต้นจากจำนวน 900,000 ซาลิแกรมที่เข้มแข็งที่จะไปสร้างอาณาจักรบนดาวเคราะห์ที่ไกลแสนไกล กลุ่มที่เริ่มต้นเดินทางกลุ่มแรกมีผู้นำคือ ซาลิแกรมที่มีพลังที่สุดผู้ที่ร้องขอต่อพ่อชีว่า ติดตามด้วยซาลิแกรมที่มีพลังกล้าแกร่งถัดลงมาข้างๆผู้นำนั่นเอง
แต่เนื่องจากกลุ่มซาลิแกรมทั้งหลายนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตขั้นสูงที่ไม่จำเป็นต้องมีกายหยาบต้องขับเคลื่อนไปเมื่อต้องเดินทางไปที่ใดๆ พวกเขาเพียงแต่เดินทางด้วยพลังของความคิด(ดวงจิต) โดยเปลี่ยนสภาวะของตนหลุดลอยออกไปจากโลกแห่งแสงสีแดงทอง(โลกนิพพานที่เงียบสงบ) ไปสู่โลกอีกมิติหนึ่งที่แปลกจากโลกเดิมอย่างสิ้นเชิง มันคือจุดเริ่มต้นอันยาวนานของเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นเร้าใจน่าอัศจรรย์ และเหล่านักเดินทางทั้งหลายก็จะไม่ได้หวนกลับมายังบ้านแห่งความสงบดินแดนนิพพานนี้อีกยาวนาน นาน…จนเมื่อเวลามาถึงอีกครั้ง!
KINGDOM (อาณาจักร)
อาตะมา(หรือเหล่านักเดินทาง) ต่างบินในรูปแบบ V shave (รูปทรง V ที่หมายถึงชัยชนะ) ผ่านท้องทะเลแห่งแสง และเข้าสู่ดินแดนม่านหมอกสีขาว ดินแดนแห่งนี้เป็นดินแดนแห่งเวทย์มนตร์ซึ่งรู้จักกันดีว่า ทำหน้าที่เหมือนกับประตูเข้าออกเชื่อมระหว่างโลกวิญญาณแห่งแสงกับมิติอื่นๆภายนอก และซาลิแกรมกลุ่มผู้บุกเบิกตนแรกก็บินผ่านเข้าไปสู่โลกวัตถุธาตุที่เต็มไปด้วยอวกาศ ดวงดาวฤกษ์และดาวเคราะห์มากมาย เขาใช้เวลาเดินทางอันสั้นแม้ว่าระยะทางจะไกลเป็นพันล้านล้านไมล์ และแล้วก็ถึงจุดหมาย…จุดหมายอันเป็นดาวเคราะห์ที่มีขนาดไม่ใหญ่มากแต่สรรพสิ่งทั้งปวงคล้ายกับโลกสีน้ำเงินนี้มาก ต่างก็ตรงที่ว่าดาวเคราะห์ดวงนี้สรรพสิ่งและธรรมชาติยังคงอยู่ในสภาวะบริสุทธิ์เริ่มต้น ท้องทะเลกว้างและลึกเป็นสีน้ำเงินคราม เกาะแก่งต่างๆล้วนชุกชุมไปด้วยสีเขียวของต้นไม้และพันธุ์ดอกไม้ที่สวยงามหอมหวนยากจะพรรณนาถึงความงดงามได้ ดาวเคราะห์นี้ยังคงเป็นผืนแผ่นดินเดียวไม่ได้แตกแยกออกจากกันถูกล้อมรอบด้วยมหาสมุทรสีน้ำเงิน และด้วยมุมองศาของแกนดาวเคราะห์ดวงนี้ที่เหมาะสมนั่นเอง จึงทำให้บนดาวดวงนี้มีแต่ฤดูใบไม้ผลิตลอดฤดูกาล ซาลิแกรมได้บินสำรวจรอบวงโคจรโลกใหม่จนทั่ว ทุกสิ่งที่นี่ล้วนใหม่สดและผลิบานบริสุทธิ์ เขาตระหนักรู้ได้ทันทีว่า ที่นี่คือโลกใหม่ที่อัศจรรย์เกินกว่าความฝันที่วาดไว้ นี่คือโลกแห่งสรวงสวรรค์อย่างแท้จริง!
ซาลิแกรมได้บินสำรวจไปรอบโลกใหม่พบว่า ณ ดินแดนแห่งนี้ ทองคำเป็นเหมือนดั่งแร่ธาตุที่มีอยู่ทั่วไปตามธรรมชาติ เพชรพลอยวางทับถมมากมายอยู่ตามพื้นอย่างวิจิตรตระการ แม่น้ำนั้นไหลรินสงบเรียบผ่านเข้าสู่ใจกลางของแผ่นดิน อุณหภูมิสภาพอากาศเหมาะสมพอดีไม่ร้อนหรือหนาว ดาวเคราะห์เคลื่อนผ่านวันและคืนอย่างงดงาม แต่เขาก็ตระหนักถึงปัญหาในเรื่องการดำรงชีพภายใต้สภาวะแวดล้อมของดาวเคราะห์ดวงนี้ แม้ว่าเขาเป็นจุดแสงที่มีพลังก็จริง แต่ภายใต้สภาวะแรงโน้มถ่วงและกฏแห่งการเสื่อมดับอันเป็นตามธรรมชาติของโลกวัตถุนี้จะเป็นอุปสรรคที่ทำให้เขาไม่สามารถทำสิ่งใดๆได้เหมือนอยู่ในโลกแห่งแสง การสื่อสารทางจิตที่เคยทำได้ในโลกแห่งแสงก็จะทำได้ยากในโลกวัตถุนี้ ประสิทธิภาพที่เคยมีจะลดน้อยลงมาก ซาลิแกรมเริ่มคิดแล้วว่า จำเป็นต้องมีชุดกายหยาบเพื่อดำรงอยู่และป้องกันพลังงานจิตของตนเองภายใต้สภาวะแวดล้อมเช่นนี้ แต่…เขาจะเอามันมาจากไหนล่ะ? ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะผลิตชุดป้องกันดังที่คิดได้ มันเป็นเรื่องยากมากที่จะแก้ปัญหาเรื่องนี้ ทำไมเขาถึงไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ก่อนที่จะมาที่นี่! พ่อชีว่าไม่ได้บอกเรื่องนี้กับพวกเขา ซาลิแกรมผู้นำก็ตระหนักรู้ดีว่าอนาคตของเหล่าซาลิแกรมขึ้นอยู่กับพ่อชีว่าแล้ว ซึ่งจะต้องแจ้งเรื่องนี้ให้ท่านทราบ
ในสถานการณ์เช่นนี้ซาลิแกรมทำอะไรไม่ได้ นอกจากการลงมาสำรวจสภาวะแวดล้อมทางธรรมชาติด้านล่าง เพื่อดูว่ามีสิ่งใดที่เหมาะสมกับพวกเขาบ้าง และผู้นำซาลิแกรมก็บินลงมา ขณะที่เขาจะเข้าสู่ชั้นบรรยากาศเบื้องล่าง เขารับรู้ถึงกระแสจิตบางอย่างที่คุ้นเคยได้ส่งมาถึงเขาให้รับรู้ถึงการต้อนรับเขากลับมาสู่บ้านอีกครั้ง ผู้นำซาลิแกรมจึงบินตามลงมายังต้นทางของกระแสจิตที่ส่งมาทันที และเมื่อมาถึงยังพื้นผิวของดาวเคราะห์ดวงนี้ เขาก็ได้เห็นซาลิแกรมอีก 2 ดวงส่องประกายแสงอยู่ที่พื้นและทั้งคู่ต่างอยู่ภายในชุดป้องกันที่เป็นร่างกายหยาบห่อหุ้มพวกเขาอยู่ และทั้งคู่ก็ได้เตรียมชุดป้องกันไว้ให้เขาอีกชุดหนึ่งเช่นเดียวกัน… ซาลิแกรมผู้นำนี้เขามีชื่อว่า “กฤษณะ” ก็ได้สวมใส่ชุดเกราะป้องกันที่จัดเตรียมไว้ให้ทันที พร้อมทั้งเริ่มต้นถามคำถามมากมาย
“ พวกท่านมาทำอะไรที่นี่” กฤษณะถาม
“ พ่อชีว่า รู้ว่าท่านจะต้องใช้ชุดอวกาศเมื่อต้องอาศัยอยู่ ณ ดวงดาวนี้ พ่อชีว่าจึงส่งพวกเรามาที่นี่ก่อน เพื่อเป็นกลุ่มที่มาพัฒนาและสร้าง(Advance Party)ผลิตชุดเหล่านี้ไว้ให้ท่านไง เสร็จแล้วเราก็จะกลับไปยังโลกวิญญาณทันที พวกเราได้สร้างบ้านเตรียมไว้ให้แล้ว ซึ่งทำจากทองคำซึ่งเป็นวัสดุทั่วไปที่หาได้จากที่นี้”
กฤษณะได้ลืมวิธีการใช้ชุดอวกาศที่ได้มาไปหมดแล้ว เขาจึงวิ่งสำรวจไปรอบๆภายในชุด ชุดป้องกันนี้คล้ายๆกับหุ่นยนต์ เพียงแต่มันสวยงามและมีความเป็นชีวิตกว่ามาก ชุดนี้มีรูปร่างคล้ายกับรูปร่างมนุษย์อย่างพวกเรามาก ต่างกันตรงที่สร้างขึ้นจากธาตุบริสุทธิ์(ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ)ที่สุดบนโลกนี้มี ไม่เหมือนร่างกายมนุษย์ที่ธาตุของร่างปัจจุบันนั้นสกปรก ก่อให้เกิดความทุกข์เจ็บป่วยจากโรคภัยหรือเกิดการทำงานที่ไร้ประสิทธิภาพ ชุดอวกาศที่กฤษณะใส่มีตาสองตาไว้เพื่อมองเห็น โดยกฤษณะจะนั่งควบคุมอยู่ตรงกึ่งกลางหน้าผากระหว่างคิ้วเพื่อควบคุม และห้องควบคุมก็มีเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ควบคุมสั่งการได้อย่างอัศจรรย์ กฤษณะสามารถจะทำให้ชุดอวกาศที่มีชีวิตนี้ทำกิจกรรมต่างๆได้ตามปรารถนา ไม่นานนักเขาก็เรียนรู้การใช้งานชุดนี้ได้อย่างคล่องแคล่วและอิสระ
จากนั้นไม่นาน ก็มีซาลิแกรมตนที่สองได้เดินทางตามลงมายังดาวเคราะห์ดวงนี้ ซาลิแกรมกลุ่มพัฒนา(Advance Party) ก็ได้เตรียมชุดไว้สำหรับซาลิแกรมตนที่สองเช่นกัน ชุดอวกาศนี้นับเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยให้เหล่าซาลิแกรมอาศัยอยู่ในเครื่องยนต์ชีวิตนี้ได้อย่างสะดวกสบายง่ายดายขณะที่ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้สภาวะแรงโน้มถ่วงของดาวเคราะห์ดวงนี้ ความจริงแล้ว มันเป็นเครื่องยนต์ชีวิตที่มีความสำคัญที่สุดสำหรับกลุ่มซาลิแกรมที่กำลังจะตามลงมาทั้งหมด เพราะชุดอวกาศ(ร่างกายนี้)จะเป็นเครื่องมือที่จะทำให้เหล่าซาลิแกรมได้รับประสบการณ์ต่างๆหลากหลายรูปแบบอย่างที่พวกเขาไม่เคยได้พบมาก่อนตามที่ได้ปรารถนาไว้ แล้วกฤษณะก็หันมาพูดกับซาลิแกรมตนที่สองที่เพิ่งลงมา ซึ่งขณะนี้อยู่ในชุดอวกาศเรียบร้อยแล้ว เธอมีชื่อว่า “ลักษมี”
“เราต้องดำรงชีวิตอยู่ที่นี่ ที่นี่คือโลกแห่งสรวงสวรรค์อย่างแท้จริง เราควรจะเรียนรู้วิธีการที่จะสร้างชุดที่เป็นเครื่องยนต์ชีวิตนี้เพิ่มมากขึ้นได้อย่างไร? สร้างโดยวิธีการใช้พลังแห่งความคิด(thought power)ของพวกเรา หลังจากนั้นเราก็จะได้เชิญพี่น้องของเราลงมาเพื่อช่วยกันสร้างอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ขึ้น ณ ที่นี่”
“แล้วเราควรจะเรียกดินแดนใหม่แห่งนี้ว่าอย่างไรดี?” ลักษมีถาม
“เราควรเรียกนามโลกใหม่นี้ว่า บารัต(Ba Haarat)” กฤษณะตอบ โดยการเปล่งเสียงชื่ออันไพเราะแสนหวานนี้ออกมาจากปากของชุดอวกาศนี้สู่อากาศ เขารู้สึกสนุกสนานกับการพูดออกเสียงของร่างกายหยาบอันใหม่นี้ ซึ่งลักษมีก็เห็นด้วยกับกฤษณะว่า บารัตเป็นชื่อที่เยี่ยมจริงๆ ทั้งคู่เป็นผู้ที่ทรงพลังอำนาจและสง่างามที่สุดในทั้งหมดของเหล่าซาลิแกรม ดำรงไว้ซึ่งตำแหน่งผู้นำผู้ปกครองอาณาจักรที่เปี่ยมไปด้วยความสงบสุขและสร้างดุลยภาพของอาณาจักร สรรพสิ่งและวัตถุธาตุ ดั่งเช่นที่เคยได้รับเหมือนในโลกแห่งแสงที่พวกเขาเคยได้อยู่มา ณ ดินแดนบารัตนี้อาณาจักรของทั้งคู่ค่อยๆเติบโต เป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะทั้งความสุขความเบิกบาน
เทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่หลากหลายถูกสร้างขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีด้วยสติปัญญาอันล้ำเลิศเกินที่มนุษย์จะจินตนาการถึง พระราชวังได้ถูกสร้างขึ้น พวกเขาสร้างยานบินที่ควบคุมบังคับด้วยพลังแห่งความคิด ผู้มาเยือนจากแดนไกลทุกคนล้วนมีคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ล้ำยุคที่ช่วยให้ง่ายในการดำเนินชีวิตประจำวัน
พวกเขาเพลินเพลินกับเกมการละเล่น ไม่ว่าจะเป็นเกมการแต่งบทกลอนบทกวีอันงดงาม เล่นเกมคีตศิลป์ด้วยการแต่งเพลงด้วยเครื่องดนตรีดีดสีตีร้องรำทำเพลงอันไพเราะและเล่นเกมขยับขับเคลื่อนยานพาหนะที่เป็นร่างกายหยาบให้พลิ้วไหวตามจังหวะเสียงเพลงที่เราเรียกว่า การร่ายรำ ชีวิตของพวกเขามีความสุขสนุกสนานกับเกมเหล่านี้ตลอดทั้งวัน ไม่มีร่องรอยความทุกข์ความกังวลใดๆเข้ามากล้ำกลายในอาณาจักรแห่งนี้
ในยามกลางวัน เมื่อพวกเขามองไปยังดวงอาทิตย์ จะระลึกถึงพ่อผู้เป็นที่รักของพวกเขานั่นคือ พ่อชีว่า และในยามค่ำคืนเมื่อมองไปยังดวงดาราบนฟากฟ้า พวกเขาก็จะนึกถึงพี่น้องซาลิแกรมที่ยังเหลืออยู่บนโลกแห่งแสงอันไกลแสนไกล ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดายแต่อย่างใด ด้วยเพราะพวกเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักทุกยามที่เห็นท้องฟ้า
ประชากรค่อยๆเพิ่มขึ้น ท่ามกลางเสียงหัวเราะ ความงดงามและในความสมบูรณ์แบบของชีวิต พวกเขาได้รับความสำเร็จอย่างแท้จริงตามที่ตั้งใจก่อนจะมาจากโลกแห่งแสงไว้ว่า ต้องการจะพบกับความปิติสุข ดังนั้นในตอนเริ่มต้น ทั้งกฤษณะและลักษมีอยากให้พี่น้องทุกคนได้รับการดูแลเป็นอย่างดี อยากให้มีความพึงพอใจในสิ่งที่แต่ละคนอยากทำเพื่อได้พบกับความสุขตามที่หวังไว้ให้มากเท่าที่จะทำได้ พวกเขาเริ่มคิดที่จะผลิตชุดอวกาศชีวิตเพิ่มขึ้น เพื่อที่จะได้เชิญชวนพี่น้องที่อยู่บนโลกวิญญาณได้ลงมาสัมผัสกับความปิติสุขที่พวกเขาได้รับอยู่นี้
และในที่สุดพวกเขาก็ค้นพบวิธีการสร้างชุดอวกาศอันใหม่ขึ้นมาได้ ด้วยการเชื่อมประสานพลังแห่งจิตของซาลิแกรมสองดวงเข้าด้วยกัน เขาก็สามารถจะสร้างชุดใหม่นี้ได้ เพียงแต่มีข้อจำกัดก็คือ ชุดอวกาศชีวิตที่สร้างใหม่นี้จะต้องค่อยๆเติบโตทีละน้อยภายในชุดจักรกลชีวิตของลักษมี เมื่อชุดน้อยๆนี้เติบโตจนมีอวัยวะครบแล้วในร่างของลักษมี พวกเขาก็จะส่งคลื่นแห่งพลังความคิดอันทรงพลังกลับไปยังโลกแห่งแสงที่อยู่ห่างไกลหลายมิติจากโลกกายหยาบนี้ เพื่อเชื้อเชิญให้พี่น้องที่กระตือรือร้นอยากลงมาสนุกสนานบนโลกแห่งความสุขนี้ จากนั้นดวงวิญญาณของพวกเขาก็จะเข้ามาอยู่ในชุดใหม่นี้ทันทีในร่างของลักษมี และจากนั้นพวกเขาจึงตั้งชื่อชุดพี่น้องลักษมีว่าเป็น “เพศหญิง”
พี่น้องที่ลงมาใหม่ตื่นเต้นที่ได้เข้ามาอยู่ภายในชุดใหม่ เขาวิ่งไปรอบๆเพื่อสำรวจมันอย่างใคร่รู้ “ที่นี่คือ พระราชวังของจริงที่ท่านจะได้อาศัยอยู่ภายในนี้ก่อน” ลักษมีพูดหัวเราะชอบใจที่เห็นพี่น้องที่มาใหม่ตื่นเต้นใคร่รู้สงสัยสิ่งที่เพิ่งได้ประสบ
“ พระราชวังนี้เป็นสถานที่เล็กๆเท่านั้นนะ เพราะว่าท่านยังอยู่ภายในชุดของฉัน เมื่อใดที่ท่านออกมาสู่ภายนอก ท่านจะได้พบกับพระราชวังที่ยิ่งใหญ่ที่พี่น้องได้สร้างไว้รอท่านอยู่ แต่ตอนนี้ท่านยังไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ขอให้ท่านได้อาศัยเติบโตอยู่ภายในชุดอวกาศของฉันไปก่อน และให้ระลึกเสมอว่าฉันเป็นญาติและเป็นคนในครอบครัวของเธอนะ”
ในขณะเดียวกันนั้น กฤษณะก็กำลังสนุกสนานกับการจัดปิกนิกท่องเที่ยวไปยังเกาะน้อยๆทั้งหลาย พี่น้องที่ออกท่องเที่ยวก็จะเดินทางไปด้วยยานบินซึ่งพวกเขาสร้างขึ้นมาให้มีรูปทรงดั่งเช่น หงส์ทองคำ เขาท่องเที่ยวโลกใหม่โลกที่พวกเขาได้เป็นจ้าวผู้ครอบครอง ซึ่งภายหลังไม่นานนัก กฤษณะก็ได้รับการขนานนามใหม่ว่า “นารายัญ” พร้อมทั้งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นจักรพรรดิผู้ครองอาณาจักร และลักษมีก็เช่นกัน ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นจักรพรรดินี
เมื่อเวลาในยุคแห่งความปิติสุขสรวงสวรรค์ของเหล่าพี่น้องซาลิแกรมที่ลงมาได้ผ่านล่วงเลยไปกว่า 1 ศตวรรษ ร่างกายที่เป็นชุดอวกาศของทั้งจักรพรรดิ์และจักรพรรดินีก็เริ่มเสื่อมสภาพฉีกขาดลง ทั้งคู่ก็จึงทำการเปลี่ยนชุดเก่ามาสู่ชุดที่ใหม่กว่า พวกเขาก็เพียงแต่เรียนรู้การใช้งานชุดใหม่อีกครั้งด้วยวิธีการเช่นเดิมซึ่งไม่ใช่เรื่องยากเหมือนครั้งแรกอีกต่อไปแล้ว จากนั้นทั้งนารายัญและลักษมีก็ส่งมอบอำนาจการปกครองของจักรพรรดิ์และจักรพรรดินีของตน ไปให้คู่ของผู้ที่เหมาะสมได้ขึ้นครองอาณาจักรลำดับถัดไป เพราะบัดนี้พี่น้องหลายท่านมีความพร้อมและมีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้นำรุ่นต่อไปได้แล้ว
ในสภาวะธรรมชาติของซาลิแกรมที่ต้องดำรงอยู่ในชุดกายหยาบภายใต้กฎแห่งความเสื่อมตามธรรมชาติของโลกกายหยาบนี้ ในช่วงยุคสวรรค์ที่ธาตุทั้ง5 มีความบริสุทธิ์สูงสุด ชุดกายหยาบจะมีอายุการใช้งานและเริ่มเก่าใช้การไม่ได้นั้นในช่วง 100-150 ปี เมื่อใดที่ใครต้องการจะเปลี่ยนชุดใหม่ ซาลิแกรมที่อาศัยอยู่ในร่างเก่านั้นก็เพียงแต่นั่งลงอยู่ในความเงียบสงบ จากนั้นเขาก็จะใช้พลังจิตที่ทรงพลังและส่งผ่านจิตของตนเข้าไปสู่ร่างกายหยาบชุดใหม่ที่ดีกว่าเดิมและได้เลือกไว้แล้วตามความต้องการ จากนั้นแต่ละคนก็จะทำการเผาชุดเก่าทิ้งทันที ไม่มีใครที่นั่นที่ต้องห่วงหาอาวรณ์หรือเสียดายเสียใจกับชุดเก่าที่เลิกใช้และทิ้งมันไป
ช่วงเวลาแห่งความสุขความปิติสูงสุดได้เคลื่อนเวลาผ่านไป จากปีสู่ปี จากศตวรรษสู่ศตวรรษ จากหนึ่งพันปีไปสู่อีกหนึ่งพันปี เหล่าซาลิแกรมก็ทยอยลงมาตามลำดับจากโลกแห่งแสงมากขึ้นๆ จากการถูกเชื้อเชิญด้วยกระแสพลังจิตของพี่น้องที่ได้สร้างอาณาจักรให้ขยายขึ้นบนโลกใหม่นี้เพื่อที่จะได้มาสนุกสนานด้วยกัน เวลานี้อาณาจักรได้ขยายมากขึ้นทั้งทางภูมิศาสตร์และการสั่งสมประวัติศาสตร์ราชวงศ์ของอาณาจักร จากจุดเริ่มต้นมีประชากรที่ทรงพลังประมาณ 900,000 ซาลิแกรม และบัดนี้ประชากรได้เพิ่มขึ้นเกือบ 330 ล้าน ขณะเดียวกับที่พระราชวังต่างๆก็ถูกสร้างให้เล็กลงและประดับประดาเพชรพลอยที่น้อยลงด้วย เริ่มมีการนำโลหะเงิน (Silver) เข้ามาประดับประดาแทนทองคำ อาณาจักรยิ่งเพิ่มขึ้นอาณาเขตต่างๆก็เล็กลงอย่างมาก แตกต่างจากที่เคยเป็นอาณาจักรเดียว แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนั้นก็ยังคงดำรงอยู่ด้วยความสงบสันติภายใต้การปกครองของจักรพรรดิ์ต่างๆผู้ทรงธรรม
ไม่มีผู้ใดเลยที่ให้ความสำคัญยึดติดผูกพันกับชุดอวกาศที่พวกเขาสวมใส่อยู่ แม้ในขณะที่พวกเขาพบปะพูดคุยต่อกัน พวกเขายังคงอยู่ในสำนึกว่า พวกเขาคือซาลิแกรม (ดวงวิญญาณจุดแสงที่ละเอียดอ่อน) ถึงแม้ว่าตาหยาบในร่างใหม่ของพวกเขาจะไม่สามารถมองเห็นถึงรูปดั้งเดิมที่เป็นจุดแสงสว่างบริสุทธิ์ละเอียดอ่อนที่สุดก็ตามเหมือนเมื่อครั้งที่พวกเขาอาศัยอยู่ในโลกวิญญาณ การได้อยู่ในร่างของชุดอวกาศก็เป็นธรรมชาติที่สองที่พวกเขาเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันอย่างมีความสุขสนุกสนาน แต่ทว่าเมื่อกาลเวลาผ่านไปๆ มันกลับกลายเป็นความเคยชินที่ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นให้น่าค้นหาอีกแล้ว ไม่เหมือนกับตอนที่เริ่มสร้างอาณาจักรใหม่ๆ!
TURNING POINT (จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ)
และในวันหนึ่ง..ประมาณ 2,500 ปีผ่านมาหลังจากที่ได้เริ่มก่อตั้งอาณาจักรขึ้นมา ก็ได้เกิดเหตุการณ์หนึ่งซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญที่เป็นจุดเริ่มต้นที่ได้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับอาณาจักรทั้งอาณาจักร ที่มีผลต่อความสุขความสงบของอาณาจักรแห่งนี้ที่เคยมีมายาวนาน
กษัตริย์วิกรรม ผู้ซึ่งเป็นผู้ปกครองอาณาจักรหนึ่งในเวลานั้น ได้เรียกน้องชายซาลิแกรมที่อยู่ในร่างชุดอวกาศร่างหนึ่งเข้ามา และกล่าวกับน้องชายผู้นั้นว่า
“ นี่..น้องเราเอ๋ย ชุดที่เจ้าสวมใส่อยู่นี้ เราเห็นว่ามันช่างงดงามนัก” วิกรรมกำลังพูดกับน้องชายซึ่งสวมใส่อยู่ในชุดของผู้หญิง “พี่อยากจะขอสัมผัสมันสักหน่อยเถอะ” เขากล่าวต่อ
ฝ่ายซาลิแกรมผู้เป็นน้องชายก็หัวเราะเมื่อได้ยินเช่นนั้น “พี่จะสัมผัสมันทำไมรึ หากจะสัมผัสพี่ก็จะต้องออกมาจากชุดของพี่น่ะสิ”
ฝ่ายวิกรรมยิ้มและกล่าวต่อไปว่า “โอ้..ไม่ต้องทำเช่นนั้นหรอก แต่พี่จะสัมผัสชุดของน้องผ่านชุดของพี่นี่แหละ”
หลังจากนั้น วิกรรมก็เริ่มสนใจชุดอวกาศของพี่น้องเพศหญิงมากขึ้นจนเป็นความหมกหมุ่นในร่างกาย(Sex Lust) เขาเริ่มชื่นชอบการตกแต่งชุดอวกาศให้สวยงาม สนใจลักษณะความโค้งเว้าของรูปทรงของพี่น้อง ทั้งการเคลื่อนไหวเยื้องย่างร่างกาย และสีสันความสวยงามชุดอวกาศของพี่น้อง แต่น้องชายของเขาเริ่มไม่ค่อยมีความสุขที่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เพราะว่ากษัตริย์วิกรรมไม่ได้ให้ความสนใจในตัวเขาอีกต่อไปแล้ว แต่บัดนี้เขากลับมีความปรารถนาเพียงหยาบๆที่จะพูดกับชุดอวกาศแทน เขาปรารถนาเพียงที่จะได้เห็นว่าชุดอวกาศของน้องชายนั้นเคลื่อนไหวอย่างไร มีความอบอุ่นเช่นไร มีสัมผัสที่แข็งหยาบหรืออ่อนนุ่มเช่นไรเท่านนั้น
“ช่างเป็นเรื่องที่โง่เง่าอะไรเช่นนี้” น้องชายในชุดเพศหญิงของเขาตะเพิดใส่วิกรรมด้วยความไม่พอใจ
แม้จะเป็นคำพูดที่แสดงความไม่พอใจเพียงเล็กน้อย แต่ทว่ามันเป็นคำประณามจากความโกรธคำแรก(ANGER)ที่ถูกอุทานออกมาจากซาลิแกรม นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งอาณาจักรแห่งความสุขนี้ขึ้นมาในดินแดนบารัติแห่งนี้ที่ยาวนานถึง 2500 ปี
เมื่อกษัตริย์วิกรรมได้ฟังน้องชายตะเพิดใส่เช่นนั้น วิกรรมก็ได้พูดย้อนกลับน้องชายไปว่า
“แต่อย่างไรเสีย ชุดอวกาศของพี่ก็ยังดีกว่าของน้องอยู่ดี” และด้วยคำพูดที่เอ่ยออกมาจากวิกรรมเช่นนี้เอง ก็เป็นคำอุทานออกมาด้วยความหยิ่งทะนงหลงตน(EGO)ครั้งแรกสุดที่ได้ถูกบันทึกไว้ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งอาณาจักรเช่นกัน และด้วยความลับที่ซ่อนอยู่ในจิตใจของวิกรรม วิกรรมก็มิได้ปรารถนาที่จะทิ้งชุดอวกาศของเขาอีกต่อไปเหมือนเช่นเคย เพื่อที่จะรับชุดใหม่อีกต่อไป ด้วยเพราะความคิดที่ว่า เขาไม่มั่นใจว่าเขาจะได้รับชุดใหม่ที่ดีกว่าชุดเก่าที่เขาชื่นชอบอยู่นี่หรือไม่! และจุดนี้นี่เองที่ความรู้สึกยึดติดผูกพันธ์(ATTACHMENT)ก็ได้เริ่มเกิดขึ้นบนดาวเคราะห์ดวงนี้เป็นครั้งแรก
“ฉันควรจะตักตวงหาประสบการณ์ให้มากที่สุด ในขณะที่ฉันยังอยู่ในชุดอวกาศนี้” วิกรรมพูดขึ้นในวันหนึ่งในช่วงที่เขาเริ่มห่วงพะวงถึงอนาคตในวันข้างหน้าของตนที่ไม่แน่นอน และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของความโลภ(GREED)บนโลกนี้
มันเป็นความโชคร้าย ที่ไม่ได้มีแต่เพียงกษัตริย์วิกรรมเท่านั้นที่เริ่มมีความคิดที่แปลกแยกเช่นนั้น เพราะเหล่าซาลิแกรมอื่นๆบัดนี้ก็ดูเหมือนกับกำลังเหนื่อยล้า พวกเขาต่างเบื่อที่จะเล่นอย่างที่เคยทำมากัน แต่พวกเขาก็เริ่มหมกหมุ่นอยู่กับร่างของตนเองมากขึ้นๆ สนใจอยู่กับร่างชุดอวกาศของตน ตลอดจนเรียนรู้วิธีการที่จะทำให้ชุดอวกาศเคลื่อนไหวไปได้อย่างอัตโนมัติโดยไม่จำเป็นต้องมีผู้ขับเคลื่อน โดยที่พวกเขาซาลิแกรมต่างเข้าไปนอนหลับอยู่ภายในชุดและปล่อยให้ชุดอวกาศเคลื่อนไหวไปโดยอัตโนมัติ และในไม่ช้าก็เกิดเป็นเกมละเล่นจนเป็นแฟชั่น เป็นเกมการเล่นกับชุดอวกาศของกันและกัน เป็นไปเพื่อตอบสนองสนุกเพลิดเพลินต่อประสาทสัมผัสทางร่างและการละเล่นนั้นถูกบันทึกไว้อย่างต่อเนื่องในเครื่องคอมพิวเตอร์(Brain-สมอง)ของชุดอวกาศนั่นเอง ซึ่งเป็นเหตุให้พวกเขาเหล่าซาลิแกรมเริ่มขาดการติดต่อโดยตรงต่อกันและกันไปมากขึ้นๆเรื่อยๆ และไม่นานนักพวกเขาก็ลืมการติดต่อกันด้วยวิธีเทเลปาตี้(กระแสจิตด้วยพลังของดวงวิญญาณ)ไปอย่างตลอดกาล
และวันหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์ที่พัฒนาขึ้นที่นำไปสู่เหตุการณ์ใหม่ เมื่อมีชุดอวกาศชุดหนึ่งที่ทำงานไปโดยอัตโนมัติโดยไม่มีซาลิแกรมควบคุมอยู่ ก็สามารถพูดคุยกับชุดอวกาศอีกชุดหนึ่งได้เองโดยไม่จำเป็นต้องมีซาลิแกรม สาเหตุเพราะคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในชุดอวกาศของซาลิแกรมทั้งหลายนั่นเอง บัดนี้มันได้ควบคุมการทำงานได้เองอันเกิดจากข้อมูลที่ได้บันทึกไว้อย่างต่อเนื่อง และมันได้เข้ามาครอบงำการบริหารแทนเหล่า ซาลิแกรมที่ต่างนอนหลับไหลและถูกกักขังอยู่ภายในชุดอย่างที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เสียแล้ว
แล้วชุดอวกาศซึ่งก็คือร่างกายหยาบ ก็เริ่มเข้ามาควบคุมเปลี่ยนแปลงสังคมความเป็นอยู่จากที่เคยสูงส่งดั้งเดิม จากคนไปสู่อีกคนหนึ่ง ร่างกายหยาบได้เข้ามาควบคุมแทนผู้เคยเป็นนายคือเหล่าซาลิแกรม ซึ่งบัดนี้อ่อนแอไม่มีพลังใดๆที่จะควบคุม ขาดความมุ่งมั่นเดิม ขาดซึ่งความปรารถนาที่จะกลับมาเป็นนายเหนือวัตถุธาตุร่างกายหยาบเช่นเดิมไปแล้ว บัดนี้ร่างกายได้เข้ามาคุมอำนาจทั้งหมด
คอมพิวเตอร์(สมอง)ในร่างกายที่เคยได้บันทึกข้อมูลของช่วงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการละเล่นของเหล่าซาลิแกรมไว้ก่อนหน้านี้ บัดนี้ก็ยิ่งปรารถนาที่จะเพิ่มความสุขทางประสาทสัมผัสที่ได้เรียนรู้มาด้วยการติดต่อกับร่างกายอื่นๆเพิ่มขึ้น เหล่าซาลิแกรมแม้จะรู้สึกสับสนจากการที่ถูกยึดครองอำนาจ แม้พวกเขาต้องการจะกลับมามีอำนาจเหนืออีกครั้งหนึ่ง แต่พวกเขาก็เริ่มกระทำต่อกันและกันด้วยความโลภ ความโกรธ และความหยิ่งทะนงหลงตน ซึ่งก็ส่งผลก่อให้เกิดความสับสนขัดแย้งต่อกันยิ่งขึ้น ความเป็นพี่น้องก็เริ่มแตกสลาย อาณาจักรก็ถูกแยกออกเป็นส่วนเล็กๆ และด้วยพลังแห่งความคิดของซาลิแกรมที่แตกแยกมีความปรารถนาแห่งการทำลายล้างซึ่งกันและกัน ก็ได้ก่อให้เกิดพลังการทำลายล้างวัตถุธาติทางธรรมชาติขึ้น ทวีปทั้งทวีปที่พวกเขาอยู่อาศัยได้แยกออก จากที่เคยมีผืนดินและอาณาจักรเดียว มันได้แตกแยกออกเป็น 6-7 ทวีปเล็กๆ บ้านเรือนและพระราชวังล่มสลายถูกทำลายล้างภายใต้ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ เครื่องมือเทคโนโลยีถูกทำลาย ผู้คนที่เหลือต่างเสื่อมถอยแต่ยังคงเหลือดินแดนส่วนหนึ่งที่เป็นดินแดนต้นกำเนิด ณ ตอนเริ่มต้นอาณาจักรไว้ ในเวลาเช่นนั้น ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ในร่างกายก็ระลึกถึงพ่อผู้ยิ่งใหญ่ที่พวกเขาได้หลงลืมท่านมาเป็นเวลานาน พ่อผู้เมตตาที่อยู่ไกลแสนไกลหลายมิติ พ่อผู้เป็นอมตะและทรงพลังทั้งมวลผู้มีนามว่า “ชีว่า” และพวกเขาต่างก็ร้องเรียกหาพ่อ เมื่อได้ยินดังนั้นพ่อชีว่าจึงได้ส่งผู้นำสาส์นลงมา
“พวกท่านต้องการจะกลับบ้านรึเปล่าล่ะ?” ผู้นำสาส์นของพ่อถามขึ้น
“อันที่จริงแล้ว พวกเราก็ชอบสถานที่แห่งนี้นะ” พวกเขาตอบ “เพียงแต่พ่อช่วยนำพาความทุกข์ยากให้พวกเราหลุดพ้นจากสภาพเช่นนี้ด้วยเถิด” บัดนี้เหล่าซาลิแกรมทั้งหลายได้หลงลืมตนเองไปหมดแล้วว่า พวกตนคือซาลิแกรม พวกเขาเริ่มมองเห็นแต่ร่างกายของแต่ละคนที่พวกเขาอาศัยอยู่ภายใน ขณะนี้พวกเขาทั้งหลายเปรียบได้ดั่งคนที่เดินละเมอไม่รู้ตัวไปเสียแล้ว!
The Growing Darkness (ความมืดมิดที่เข้าปกคลุม)
และเมื่อกาลเวลาล่วงผ่านไป เหล่าซาลิแกรมที่อยู่บนโลกแห่งแสงก็ได้ลงมายังดาวเคราะห์แห่งนี้มากขึ้น..มากขึ้น ด้วยเพราะได้ยินถึงความสุขความพอใจที่ได้รับจากสถานที่แห่งนั้น แต่…พวกเขาไม่ได้ตระหนักรู้ถึงความยากลำบากที่กำลังปรากฏขึ้น ชุดของร่างกายได้ถูกจัดเตรียมไว้ให้พวกที่มาใหม่เช่นเดิม แต่บัดนี้มันแตกต่างไป เพราะมันถูกสร้างขึ้นจากพลังทางร่างกายแทนที่จะถูกสร้างให้บริสุทธิ์ด้วยพลังทางจิต เนื่องจากบัดนี้พลังทางจิตนั้นสูญสิ้นไปแล้ว
พี่น้องซาลิแกรมที่เพิ่งลงมาถึงก็จะได้รับสถานภาพที่ดีมีชื่อเสียง เพราะยังเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ซึ่งแตกต่างจากผู้ที่ลงมายังดาวเคราะห์นี้มายาวนานตั้งแต่เริ่มต้นและเคยได้เล่นบทบาทที่สำคัญ..บัดนี้ต่างอ่อนพลังลงแล้ว การมาถึงของผู้ที่มาใหม่กลับทำให้ผู้ที่อยู่เก่ารำลึกถึงบ้านดั้งเดิมนั่นคือโลกแห่งแสงและพูดคุยถึงวิธีและหนทางที่จะกลับไปบ้านดั้งเดิมได้อย่างไร แต่ส่วนใหญ่เมื่อได้ฟังก็ไม่ได้สนใจอะไร นั่นเพราะว่าพวกเขาอาศัยอยู่ในดาวเคราะห์ดวงนี้นานเกินไปเสียแล้ว และพวกเขาก็ติดหล่มอยู่กับหนทางที่พวกเขาสร้างกันขึ้นมาเอง
จำนวนของผู้ที่ลงมาใหม่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและน่าตกใจ แต่อย่างไรก็ตาม ชีวิตที่เขาคาดหวังไว้ว่าจะได้พบก็ไม่ได้เป็นดังหวัง ที่นี่ไม่มีความเจริญทางเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์อะไรหลงเหลืออยู่แล้ว เนื่องเพราะการทำลายล้างอันเกิดจากกิเลสและความตกต่ำของดวงวิญญาณจนทำให้แผ่นดินแตกแยกออกเป็นหลายทวีป และสติปัญญาก็ลืมเลือนวิธีการสร้างสิ่งต่างๆไปจนหมดสิ้น ประชากรทุกแห่งหนต่างยากไร้ ธรรมชาติที่เคยอ่อนโยนบริสุทธิ์กลับกลายเป็นสร้างความทุกข์ยากมากขึ้น ฤดูใบไม้ผลิที่งดงามก็เปลี่ยนไป ฤดูหนาวเริ่มทวีความโหดร้าย อาณาจักรที่เคยมีหนึ่งเดียว บัดนี้ถูกพลังทางธรรมชาติทำลายแตกแยกออกเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยกระจัดกระจายออกไปทั่วทั้งดาวเคราะห์ แต่ละกลุ่มก็เริ่มสร้างพิธีกรรมความเชื่อตามความศรัทธาที่เบี่ยงเบนของกลุ่มตนเองขึ้น ต่างลืมวิถีชีวิตอันรุ่งเรืองดั้งเดิมในยุคแห่งความสุขและลืมแม้เทพที่เคยมีอยู่จริง
พวกเขาแต่ละกลุ่มที่แตกแยกออกไปก็เริ่มจดบันทึกและเขียนความทรงจำอันเลือนรางที่มี เกี่ยวกับวิถีชีวิตและสรรพสิ่งที่เคยใช้ชีวิตอยู่ในช่วงยุคทองในอดีต ตำนานของแต่ละกลุ่มที่เขียนกันขึ้นจึงมีความคล้ายคลึงกัน ทั้งที่แต่ละกลุ่มก็ไม่เคยได้เจอกันและเปรียบเทียบบันทึกเหล่านั้น ยิ่งเวลาผ่านไปความเชื่อแต่ละกลุ่มก็สะสมต่อเติมและยิ่งแตกแยกมากขึ้นตามกาลเวลา
และวันหนึ่งก็ถึงเวลาที่ ซาลิแกรมผู้มีพลังและมีบทบาทพิเศษได้ลงมาจากโลกแห่งแสง เขาเป็นผู้นำสารน์จาก “พ่อชีว่า”(Shi Vah) เขาลงมายังโลกและพูดความรู้ถึงดินแดนอันแสนไกลและพ่อผู้เมตตายิ่งใหญ่ ผู้คนมากมายต่างได้รับอิทธิพลต่อความรู้นี้และเพิ่มพูนขยายตัวกันออกไปกว้างขวางยิ่งขึ้น บ้างก็เรียกชื่อพ่อผู้ยิ่งใหญ่ว่า “อิศวร” (I-Shu-Var) บ้างก็เรียกชื่อท่านว่า “ยะโฮวา” (Ja-Hu-Bah) ต่างดินแดนต่างพื้นที่ก็ทำพิธีกรรมบูชากราบไหว้ในหนทางที่แตกต่างกันไป พวกเขาเชื่อว่าพ่อผู้สูงส่งนั้นท่านได้ยินและรู้ทุกสิ่ง และท่านไม่ได้มีร่างกายเหมือนที่พวกเขามี แต่..ยังคงมีความสงสัยกันว่าท่านสถิตอยู่ ณ หนใด? และจะมีผู้ใดที่ดำรงอยู่โดยปราศจากร่างกายนี้ได้ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ยากจะเข้าใจ
ในเวลาเดียวกัน กลุ่มผู้คนที่ยังอาศัยอยู่ ณ ดินแดนเริ่มต้นอาณาจักรยุคทอง ก็เริ่มสร้างรูปปั้นบูชาของผู้นำคนแรกของอาณาจักรขึ้น เพราะพวกเขามีความเชื่อว่าราชาและราชินีเป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากผู้ที่มีพลังอำนาจศักดิ์สิทธิ์ เป็นผู้ที่เคยปกครองโลกนี้ด้วยพลังอำนาจที่เหนือธรรมชาติ และยังคงมีอิทธิพลด้วยพลังแห่งจิตที่ส่งมาจากดวงดาวหรือดินแดนไกลโพ้นเพื่อจัดระเบียบโลกและสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น และเชื่อว่าวันหนึ่งราชาจะกลับมายังโลกนี้อีกครั้ง มีการสร้างอนุสรณ์สถานศักดิ์สิทธิ์ที่มีรูปปั้นตั้งตระหง่าน ภายในมีการร้องเพลงสวดสรรเสริญเพื่อให้ผู้คนได้สักการะกราบไหว้ขอพรและได้รับการช่วยเหลือ ชื่อเสียงของ “เทพกฤษณะ” Kri Sha Nah มีชื่อเสียงมาก ชื่อของท่านจะถูกขับขานและสวดร้องขอเสมอๆ แต่กลับไม่มีผู้ใดจดจำลูกๆซาลิแกรมผู้ที่เคยอาศัยอยู่ในชุดอวกาศที่เป็นร่างกายหยาบ ไม่มีผู้ใดในโลกใบนี้ที่จะจำได้ว่าพวกเขาคือ ซาลิแกรม อีกต่อไป
บางส่วนที่รู้สึกแย่ท้อแท้ทุกข์ยากกับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น พวกเขาก็จะละทิ้งอาณาจักรบ้านเรือนและเริ่มต้นเข้าไปอยู่ในป่าเพื่อแสวงหาความสงบ ในยามนั้นก็ทำให้พวกเขาไปสู่แนวคิดมากมายเพื่อเข้าไปสู่ความสงบที่ลึกยิ่งขึ้น “เรามีดวงวิญญาณ” พวกเขาแบ่งปันความรู้ต่อกัน “เราไม่ใช่เป็นเพียงร่างกาย”
“แล้วอะไรคือดวงวิญญาณกันล่ะ?” บางคนถามด้วยความสงสัย
“ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่มันอาจจะใช่ และอาจจะไม่ใช่เลยก็ได้”
การสนทนาก็เริ่มขยายตัว บางคนต่อยอดความคิดเสนอแนะไปว่า “บางที…ดวงวิญญาณก็คือสิ่งเดียวกันกับดวงวิญญาณสูงสุดเช่นพระอิศวร(I-Shu-Var)”
“ใช่ แน่นอน” บางคนเห็นด้วย “มันต้องเป็นเช่นนี้แน่ๆ ดวงวิญญาณก็คือพระอิศวร พวกเราต้องตามหาผู้สูงสุด”
ครั้นเมื่อแนวคิดใหม่นี้ถูกปลุกขึ้นมา สิ่งต่างๆก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เพราะหลายคนเชื่อว่าตนเองเป็นผู้ใกล้ชิดพระอิศวรและรู้ถึงความปรารถนาที่ท่านอยากให้เป็น และพูดต่อๆกันไปสู่หมู่ประชากรว่า พระอิศวรท่านต้องการให้เรามีชัยชนะยึดครองเหนืออาณาจักรเพื่อนบ้าน และผู้ใดที่มีศรัทธา แม้ต้องตายในสนามรบเพราะต้องต่อสู้กับเพื่อนบ้านที่เป็นเช่นปีศาจ พระอิศวรก็จะพึงพอใจ แต่ท่านจะเกลียดชังผู้ที่ไม่เชื่อถือไร้ศรัทธา หลายอาณาจักรถูกปลุกระดมด้วยความเชื่อเช่นนี้ และกระทำตามความคิดเหล่านั้น ทันใดผู้คนก็เริ่มเข้าสู่กองทัพและทำการรบในนามของผู้เป็นพ่อของเหล่าซาลิแกรม น้อยคนนั้นที่จะรู้ถึงเจตจำนงแท้จริงของท่าน “พ่อผู้ยิ่งใหญ่ต้องการพวกท่าน” นั่นคือสิ่งที่ถูกปลูกฝังและปลุกระดมบนความเชื่อที่มืดบอด!
และสงครามก็เพิ่มทวีขึ้น พร้อมๆกับความเชื่อผิดๆที่เผยแพร่มากขึ้น และผู้คนของแต่ละอาณาจักรก็ทำลายชุดอวกาศของกันและกัน ยิ่งทำลายมากขึ้นเท่าไหร่ ชุดอวกาศก็ยิ่งถูกผลิตขึ้นมาทดแทนมากขึ้นเท่านั้นอย่างรวดเร็ว แต่ละครั้งที่เหล่าซาลิแกรมถูกกระทำให้ต้องออกจากชุดของพวกเขา เขาก็จะกลับมาตระหนักรู้ได้อีกครั้งว่า ตัวตนที่แท้จริงของเขาก็คือจุดแสง แต่เมื่อใดที่ซาลิแกรมต้องกลับไปสู่ภายในชุดอวกาศอันใหม่อีกครั้ง สภาวะแห่งการยึดติดกับร่างกายหยาบก็ทำให้เขาลืมความจริงในตัวตนอีก มันช่างเป็นเรื่องที่ขบขันเสียจริงๆ ที่ซาลิแกรมซึ่งเป็นจุดแสงแสนจะเล็ก กลับคิดว่าตนนั้นคือยานยนตร์ทางวัตถุที่มีร่างกายใหญ่โต และอุทิศเวลาทั้งหมดของพวกเขาเพื่อรักษาร่างกายนี้ไว้ให้เกิดความพึงพอใจ แต่สำนึกแห่งความเป็นร่างกายนี้เอง เหล่าซาลิแกรมก็ยิ่งทวีความปรารถนาในรสประสาทสัมผัสทางร่างมากยิ่งขึ้น ทวีความโกรธยิ่งขึ้นเมื่อไม่ได้ดังที่ปรารถนา และยิ่งทวีความโลภต่อทรัพย์สินความมั่งคั่ง เมื่อเป็นเช่นนั้น สภาพสังคมของพวกเขาก็เต็มไปด้วยการคดโกง หลอกลวงคอรัปชั่นเพื่อที่ให้ได้ดังปรารถนา
บัดนี้เหล่าซาลิแกรมผู้ที่ลงมาจากโลกแห่งแสงมาสู่โลกเบื้องล่างนั้นเพิ่มทวีขึ้นอย่างมหาศาล เพราะต้องการลงมาดูว่าอะไรที่ทำให้พี่น้องของพวกเขาอยากจะลงมาเป็นบทบาทอันยิ่งใหญ่ที่นี่กัน พวกเขาจึงต้องลงมาเพื่อสัมผัสมันด้วยตนเอง ซึ่งในไม่ช้าบนโลกแห่งแสงประชากรซาลิแกรมก็ว่างเปล่า เหลือแต่เพียงพ่อผู้เป็นผู้นำสูงสุดของเหล่าซาลิแกรม “ชีว่า” ท่านไม่ได้เคลื่อนไหว แต่ท่านรู้ทุกสิ่งที่ดำเนินไปทั้งหมด และท่านก็รอ รอจะกระทั่งถึงเวลาที่ถูกต้องเหมาะสมที่ท่านจะเล่นบทบาทของท่าน
บทสุดท้ายของละคร (The End Of The Play)
และบัดนี้ถึงคราวที่ ดาวเคราะห์ดวงนี้ประชากรก็เพิ่มขึ้นอย่างน่ากลัว มีซาลิแกรมลงมาอาศัยอยู่กว่าห้าพันห้าร้อยล้าน มาอาศัยอยู่ในชุดอวกาศร่างกายหยาบที่ผลิตออกมาอย่างไร้คุณภาพ มีอายุการใช้งานน้อยลงๆ เพราะเจ็บป่วย ติดเชื้อโรคร้าย หรือไม่ก็พิกลพิการผิดรูป
ประชากรผู้ที่เพิ่งลงมาใหม่(Newcomers) ก็ได้สร้างรูปแบบความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขึ้นมาอีกครั้ง ความเจริญนี้ได้ทำให้อาณาจักรที่เคยแบ่งแยกอิสระออกไปตามพื้นที่ต่างๆทั่วโลก ได้กลับมาเชื่อมต่อสื่อสารเทคโนโลยีความรู้ถึงกันได้ในหลากหลายหนทาง แต่ทว่า แทนที่จะสร้างมิตรภาพต่อกัน พวกเขาต่างใช้ความรู้ที่มีเพื่อการแข่งขันเอาเปรียบชิงดีชิงเด่นกันมากขึ้นระหว่างอาณาจักรต่างๆ และก็เกิดสงครามต่อสู้แย่งชิงกันทั่วทั้งดาวเคราะห์ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์รูปแบบใหม่ถูกนำมาใช้สร้างอาวุธเพื่อประหัตประหารทำลายร่างกายหยาบของกันและกัน ไม่มีผู้ใดสนใจแม้แต่จะพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับ “ดวงวิญญาณ(Soul)” ใดๆอีกต่อไป ความรู้ใหม่ทำให้พวกเขามีกรอบความคิดเพียงว่า เมื่อใดที่ร่างกายถูกทำให้การทำงานของร่างนั้นล้มเหลวหมดสภาพ นั่นก็คือ “ความตาย(died)” พวกเขาไม่มีความรู้อีกต่อไปแล้วว่า ภายในร่างกายหยาบนี้มีซาลิแกรมอาศัยอยู่ภายใน และไม่รู้ว่าดวงวิญญาณที่มีชีวิตแสนเล็กนี้ถูกทำให้ไม่บริสุทธิ์ได้อย่างไร!
และเวลาก็วิ่งไปอย่างรวดเร็ว เมื่อการแย่งชิงตักตวงทรัพยากรสิ่งจำเป็นบนโลกนี้น้อยลงๆ สวนทางกับประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลต่อเนื่อง ความเกลียดชังซึ่งกันและกันก็เริ่มต้นขึ้นและมีมากขึ้นเรื่อยๆ ทรัพย์สมบัติและคุณค่าที่อยู่ในผืนดินเริ่มน้อยลงๆทุกทาง พลังงานและน้ำมันได้ถูกนำมาใช้ขับเคลื่อนเครื่องบินที่นักวิทยาศาสตร์ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมา รวมถึงการผลิตเครื่องยนตร์ใหม่ๆที่ส่งเสียงดังมีเก้าอี้นั่งและพาผู้คนไปยังสถานที่ต่างๆได้อย่างรวดเร็วดั่งสายลมพัด และในที่สุด ธรรมชาติ(Nature)ก็เริ่มปฏิเสธที่จะให้ความช่วยเหลือพวกเขา ความสบายที่เห็นแก่ตัวความโลภโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบใดๆ อันเกิดจากความทรนงผยองในความรู้ใหม่เริ่มเกิดอุปสรรคขึ้นแล้ว และดังนั้นทางเลือกของการฆ่าจึงเป็นคำตอบที่อยู่เหนือทางเลือกใดๆ ในสภาพที่ดาวเคราะห์ดวงนี้มีผู้คนมากเกินไปแล้ว อาวุธยุทโธปกรณ์จึงถูกเร่งสร้างขึ้นมาเพื่อการฆ่าทำลายล้างชีวิตให้ได้มากที่สุดและทรงประสิทธิภาพ
การดำเนินชีวิตกลายเป็นสิ่งเลวร้ายเท่าที่เคยมีมา ผู้ใดที่เดินรอยตามผู้นำสาส์นของพ่อชีว่าก็เกิดความเกลียดชังผู้เดินรอยตามผู้นำสาส์นอื่นๆ ตั้งแต่การแตกแยกทางเชื้อสายเผ่าพันธ์ที่หลากหลาย ร่างของชุดอวกาศก็เปลี่ยนแปลงไปตามแต่ละพื้นที่แต่ละอาณาจักร ผู้ที่มีร่างชุดอวกาศสีขาวก็เกลียดชังกีดกันผู้ที่มีร่างชุดสีดำ กลุ่มอาณาจักรที่มีความคิดชั่วร้ายก็เกลียดชังอาณาจักรอื่นๆ ผู้ที่อยู่ในร่างเพศชายก็จะกดขี่ข่มเหงพี่น้องที่อยู่ในร่างเพศหญิง ทุกๆคนใช้ชีวิตอย่างเห็นแก่ตัวเพียงเพื่อสนองตัณหาของตัวเองโดยไม่สนใจว่าวิธีการนั้นจะถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ ดาวเคราะห์นี้เกิดสงครามใหญ่น้อยขึ้นทุกหย่อมหญ้าอย่างสมบูรณ์แล้ว จากโลกที่เคยเป็นสวนดอกไม้งดงาม…บัดนี้มันได้แปรสภาพเป็นป่าหนามของความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน
แต่ยังคงมีซาลิแกรมอยู่เพียงบางส่วนน้อยนิด ผู้ซึ่งยังมีความทรงจำส่วนลึกหลงเหลือเปรียบดั่งญาณหยั่งรู้ว่าสิ่งต่างๆแต่เดิมนั้นมันเคยเป็นเช่นไร พวกเขาจดจำมันอยู่ภายใต้จิตสำนึกส่วนลึกว่า ครั้งหนึ่งจักรวาลนี้เคยสงบสันติสุขและผสามกลมกลืนกันอย่างสมบูรณ์ พวกเขามีสันชาติญาณหยั่งรู้ได้ว่า ที่ใดสักแห่งหนึ่งและใครผู้หนึ่งผู้ที่จะมาชำระสิ่งสกปรกในโลกนี้ให้หวลกลับคืนมาสู่ความสงบปิติสุขสมบูรณ์ได้อีกครั้ง แต่ใครคือผู้นั้น? และตอนนี้ท่านอยู่ที่ใดกัน?
ลูกซาลิแกรมผู้ที่เคยเป็นจักรพรรดิ์อันดับหนึ่งของยุคทองนานมาแล้ว ผู้ที่ได้ใช้ร่างกายถึง 84 ชาติเกิดและได้ลืมคุณสมบัติดั้งเดิมที่ตนเองเคยมีมาก่อน บัดนี้เขาใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่หน้ารูปเคารพของนารายัญ รูปนารายัญจักรพรรดิ์อันดับหนึ่งของโลกผู้ที่เขาเองเคยเป็นในชาติเกิดแรก แต่บัดนี้เขาได้ลืมมันไปหมดแล้ว เขาเอาแต่บูชากราบไหว้สักการะรูปภาพนารายัญ เพราะคิดว่านั่นคือพ่อสูงสุดของประชากรบนดาวเคราะห์นี้ เขาเป็นผู้มีบุคคลิกภาพที่อ่อนโยนสุภาพ ทำให้ผู้คนรอบข้างมีความสุข เขาอุทิศตัวเองต่อการกราบไหว้บูชาเช่นนี้ และคิดเกี่ยวกับพ่อสูงสุดนี้อยู่สม่ำเสมอและคงเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์หากได้เห็นท่านปรากฎขึ้น จะนานสักเพียงใดที่ความลี้ลับนี้จะถูกเปิดเผย? เขาไม่มั่นใจว่าเมื่อไหร่? ไม่รู้ว่าจะหนึ่งร้อยปี จะหนึ่งพันปีหรือสี่หมื่นปี
ขณะที่สิ่งต่างๆบนโลกเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ ทั้งสงครามและความอดอยากหิวโหยก็เพิ่มทวีแผ่ขยาย ภัยพิบัติจากธรรมชาติเพิ่มความโหดร้ายขึ้น แผ่นดินไหวเลื่อนลั่นและภัยจากน้ำท่วมเกิดมากขึ้นๆ มันคือการแก้แค้นต่อชาวโลกที่สร้างมลพิษให้แก่วัตถุธาตุทั้งหลาย อาณาจักรทั่วทั้งโลกต่างร้องไห้คร่ำครวญเรียกหาพ่อเพื่อมาช่วยคุ้มครองให้พวกเขาพ้นภัย และเสียงร้องดังก็ได้รับการได้ยิน พ่อชีว่ารู้ว่าในที่สุดพวกเขาก็ปรารถนาเช่นนั้นจริงๆ และบัดนี้ก็ถึงเวลาที่จะต้องช่วยแล้ว นักเดินทางทั้งหลายต่างได้รับประสบการณ์มากเพียงพอ พวกเขาปรารถนาจะกลับบ้าน แต่พวกเขายังติดกับอยู่ภายในร่างกายหยาบออกมาไม่ได้
ดังนั้นพ่อชีว่าจึงตัดสินใจที่จะพาพวกเขากลับมา ด้วยการสอนให้พวกเขารู้วิธีที่จะบินอีกครั้งหนึ่ง และประคองให้พวกเขาทั้งหมดกลับมาสู่มหาสมุทรแห่งความสงบอย่างปลอดภัย เมื่อเวลาที่เหมาะสมได้มาถึง พ่อชีว่าก็ลงมายังดาวเคราะห์ดั่งจรวด ท่านเข้ามายังร่างของลูกผู้หนึ่งซึ่งยังคงไว้ความสูงส่ง เป็นผู้ซึ่งเคยมีความบริสุทธิ์ที่สุดขณะที่เล่นบทบาทชั่วคราวบนโลกนี้มายาวนาน พ่อชีว่าเข้ามานั่งถัดไปจากลูกซาลิแกรมผู้นี้ในห้องควบคุมของร่างกาย ที่อยู่ ณ กึ่งกลางหน้าผากระหว่างคิ้ว
“สวัสดี” พ่อกล่าว “พ่อคือชีว่า” จากนั้นดวงวิญญาณสูงสุดได้นำซาลิแกรมน้อยพาออกมาจากร่างกายของเขา และแสดงให้เขาเห็นรูปที่แท้จริงของตัวเอง พ่อชีว่าเริ่มต้นสอนให้ลูกน้อยรู้วิธีที่จะบินอย่างไร และสอนวิธีที่จะกลับมาบริสุทธิ์ให้เหมือนกับพ่ออีกครั้ง
“เพียงแต่จดจำพ่อ” พ่อชีว่ากล่าว “และลูกจะบรรลุถึงสภาวะที่สมบูรณ์แบบอีกครั้งหนึ่ง บินอย่างผู้มีชัยชนะกลับไปสู่บ้านแห่งแสงของเรา”
ไม่นานคำร่ำลือก็กระจายออกไปว่า ชีว่าได้ลงมาแล้วจริงๆ ผู้คนก็เข้ามาชุมนุมเพื่อจะฟังจากท่าน แต่พ่อชีว่าปราศจากซึ่งร่างกายหยาบของท่านเอง ท่านจึงยืมร่างของลูกคนแรก และขนานนามให้เขาว่า “บราห์ม่า (Brah Ma)” จากนั้นก็ได้พูดความรู้ผ่านอวัยวะซึ่งเป็นปากของลูกผู้นี้ เพื่อปลุกให้ซาลิแกรมแต่ละดวงได้กลับมาตระหนักรู้ถึงตัวตนที่แท้จริง เพียงเวลาไม่นานข่าวสารนี้ก็แพร่กระจายไปทั้งโลกว่า พ่อได้มาแล้วและจะพาทุกๆคนกลับบ้าน บางคนก็ไม่เชื่อสิ่งเหล่านี้ เพราะเขาเหล่านั้นได้สูญเสียสำนึกรู้ที่ถูกต้องและติดกับสำนึกแห่งความเป็นร่างกาย แต่บางคนก็ได้รับการเกิดใหม่อีกครั้งเพียงแค่ได้ยินความรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเขา
ในเวลาเดียวกัน ที่โลกได้รับข่าวสารจากคำพูดของพ่อชีว่า สิ่งนี้ได้ปลุกให้ลูกๆตื่นขึ้นและมองเห็นนิมิตต่างๆได้ สรวงสวรรค์ยุคโบราณก็เข้ามาสู่จิตใจ การหลุดพ้นในชีวิตที่พ่อชีว่านำมาให้ เพื่อให้ลูกๆหลุดจากความกลัวตายจากร่างกายหยาบ ทำให้มีเข้าใจตัวตนที่แท้ว่า เราเป็นจุดแสงเป็นดวงวิญญาณที่แสนเล็กที่เดินทางมาจากโลกอื่น และบัดนี้เวลาของวงจรโลกได้เดินมาครบรอบแล้ว
“พ่อเคยมาที่นี่มาก่อน” พ่อชีว่าพูดกับลูกๆ “พ่อเคยมาเมื่อ 5000 ปีก่อน มาเพื่อฟื้นฟูสรวงสวรรค์ให้กลับมาดีดังเดิมบนโลกใบนี้ และพ่อก็จะกลับมาอีกครั้ง เมื่อใดก็ตามที่บทบาทของพ่อในละครโลกที่ซ้ำรอยเดิมนี้เรียกร้องให้พ่อต้องเล่น บัดนี้..ถึงเวลาแล้วที่ต้องถอดชุดของลูกออกและกลับบ้าน ละครได้ถึงตอนจบแล้ว”
แต่ความชั่วร้ายได้พุ่งขึ้นจนถึงขีดสุดแล้ว โลกทั้งโลกก็เกิดสงครามขึ้นในเวลานั้น เวลาเดียวกับที่ชาวโลกจดจำได้แล้วว่าพ่อได้มาแล้วจริงๆ แล้ววัตถุโลหะที่บินได้ก็ตกลงมายังใจกลางเมืองที่มีผู้คนหนาแน่น และอาณาจักรทั้งหลายก็จบสิ้นภายใต้กลุ่มควันและเถ้าธุลี สงครามกลางเมืองได้ตามมาทำลายเผาผลาญอาณาจักรอื่นๆต่อไป น้ำท่วม แผ่นดินไหวและการทำลายล้างทางธรรมชาติอื่นๆก็ตามมา มีเพียงผู้คนน้อยมากที่ยังหลงเหลืออยู่ และซาลิแกรมชุดสุดท้ายที่เหลืออยู่ก็ถูกปลดปล่อยจากร่างกายที่เป็นดั่งกรงขังในที่สุด พวกเขาทั้งหมดก็บินอย่างเป็นระเบียบติดตามพ่อชีว่ากลับไปยังบ้านแห่งแสง….สู่อิสระภาพในที่สุด
บทส่งท้าย
ความสงบ…ยังไม่เพียงพอ
เหล่าซาลิแกรมได้กลับมาอาศัยในโลกแห่งแสงที่เป็นทะเลแห่งความสงบนิ่งไม่เคลื่อนไหว ทั้งหลายต่างเปล่งประกายแสงสุกสว่างมากๆ เคลื่อนอยู่โดยรอบพ่อชีว่าผู้ซึ่งดีใจที่ลูกๆกลับมาสู่บ้านอีกครั้ง แต่ต่อมาไม่นาน พวกเขาก็ลืมไปว่าได้เคยไปที่ไหนมาก่อน ไม่มีลูกซาลิแกรมตนใดที่สามารถจะจดจำเรื่องราวที่ผ่านมาในอดีตที่เคยผ่านความสับสนอลหม่านหรือความรุนแรงใดๆได้ ดูราวกับว่า พวกเขาล่องลอยอยู่ในโลกแห่งแสงอย่างสงบนิ่ง ปราศจากซึ่งอารมณ์และไม่ถูกรบกวนจากสิ่งใดๆในมหาสมุทรแห่งความเงียบสงัดนี้
และแล้วเมื่อเวลามาถึงอีกครั้ง ลูกซาลิแกรมตนหนึ่งก็เกิดความรู้สึกขึ้น “ความสงบยังไม่เพียงพอ ลูกปรารถนาความปิติสุข และอยากไปท่องเที่ยวยังโลกอื่นๆบ้าง”
พ่อชีว่ามองดูลูกผู้สูงศักดิ์ด้วยสายตาอ่อนโยน และเพียงชั่วอึดใจ ท่านก็กล่าวว่า “ได้สิลูก”