บันไดและต้นไม้ของมวลมนุษยชาติ

            พระเจ้าชีว่า ครูสูงสุดเปิดเผยว่าละครโลกนี้ไม่มีการเริ่มต้น  ไม่มีจุดจบ  เป็นอมตะและถูกกําหนดไว้แล้ว ละครนี้ขับเคลื่อนไปได้ด้วยสิ่งสำคัญ 3 ประการที่มีความเป็นอมตะ  และทั้ง 3 มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันอย่างเป็นนัยยะสําคัญ  สิ่งสำคัญทั้งสามนั่นคือ  ดวงวิญญาณ (Souls), ประกิต (สสารหรือพลังงานที่ไม่มีชีวิต-Matters) และพระเจ้าพ่อชีว่า(Supreme Soul)   ละครของมนุษยชาตินี้เป็นเรื่องราวของความสูงส่งและการตกต่ำของมนุษย์ เป็นเรื่องราวของชัยชนะและความพ่ายแพ้  ความสุข ความทุกข์ทรมาน  ความรู้และความงมงายไม่รู้  อิสระและพันธะผูกพัน  มันเป็นเรื่องราวในพลังของความดีและพลังของความชั่วร้าย เป็นสภาวะที่แตกต่างของดวงวิญญาณได้ผ่านกาลเวลามาทั้งสี่ยุค จากความสูงส่งมาสู่ความเสื่อมและตกต่ำ ภายใต้กระบวนการของกฎแห่งกรรม ช่วงเวลาที่เริ่มต้นของกิเลสในตอนเริ่มต้นยุคทองแดง บทบาทการลงมาเกิดของดวงวิญญาณจากโลกวิญญาณที่ลงมาเป็นผู้นําศาสนาต่างๆ  บทบาทของศาสนาที่แตกต่างกันในโลก การเติบโตของการบูชากราบไหว้และผู้ที่คลั่งไคล้ เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจของดวงวิญญาณที่มีความหลงผิดเกี่ยวกับความจริงแท้ของตน และร่างกายที่ใช้เล่นบทบาทที่เสื่อมสูญสลายได้  การหลงผิดนี้เป็นสาเหตุของการตกต่ำของมนุษย์  และเมื่อเวลามาถึงยุคสุดท้ายก็จะกลับมาเข้าใจความจริงเกี่ยวกับตัวเองอีกครั้ง ด้วยการเปิดเผยความรู้ที่แท้จริงโดยพระเจ้าชีว่าเพื่อปลดปล่อยดวงวิญญาณทั้งหมดให้หลุดพ้นไปจากโลกนรกในยุคสุดท้าย   และก่อตั้งโลกใหม่ยุคสวรรค์ที่สูงส่งอีกครั้ง

บันไดของมวลมนุษย์ คือ ละครโลกที่ซ้ำรอยเหมือนเดิมทุกประการ

            ผู้คนมักจะพูดกันว่า “ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเดิม”  บัดนี้พระเจ้าพ่อชีว่ากล่าวว่า ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิมทุกประการทุกๆกัลป! เหมือนกับภาพยนตร์ที่ไม่อาจถูกทําลายได้ เป็นอมตะและซ้ำรอยแบบไม่มีจุดจบของเวลา  ฉากทั้งหมดใช้เวลา 5,000 ปี และมันก็จะกลับมาฉายซ้ำโดยอัตโนมัติ ทุกๆความคิดและการกระทําของทุกๆดวงวิญญาณประกอบกันขึ้นเป็นละคร ไม่มีดวงวิญญาณสองดวงที่เหมือนกัน แต่ละดวงวิญญาณมีรูปร่างหน้าตาที่แตกต่างกันไปในแต่ละชาติเกิด ความเป็นจริงในแต่ละบทของแต่ละดวงวิญญาณแตกต่างกันไปทุกๆวินาทีตลอดทั้งกัลป และละครนั้นจะซ้ำรอยเหมือนเดิม!  เพราะในทุกๆวงจรดวงวิญญาณทุกดวงซึ่งเป็นผู้แสดงในละครจะเป็นคนเดิม เพราะเป็นอมตะไม่ตาย แต่ละดวงวิญญาณจะเล่นบทบาทเดิมในวงจรหน้า เพราะดวงวิญญาณได้บันทึกรอยประทับที่ไม่สามารถลบออกได้ไว้แล้ว จนกลายเป็นบทบาทของตัวเองซึ่งได้เล่นมาชีวิตแล้วชีวิตเล่าในวงจรโลก สิ่งที่มหัศจรรย์ที่สุดในละครนั่นคือ ดวงวิญญาณมนุษย์ซึ่งแม้เป็นจุดแห่งแสงที่มีชีวิต แต่ได้บันทึกบทบาทตลอดทั้งกัลป 5,000 ปี ไว้ และเก็บไว้เป็นพลังที่นอนเนื่องอยู่ภายในดวงวิญญาณ หรือที่เรียกว่า “รอยประทับ”(สันสการ์)

  

84 ชาติเกิดของดวงวิญญาณมนุษย์

            ในหนึ่งกัลป ดวงวิญญาณของมนุษย์สามารถเกิดได้สูงสุด 84 ชาติเกิด ซึ่งครอบคลุมช่วงเวลา 5,000 ปี เรื่องราวการกลับชาติมาเกิด จํานวนชาติเกิด และสภาวะที่ผ่านยุคทั้งสี่ของดวงวิญญาณดวงหนึ่งสามารถแสดงได้โดยบันได 84 ขั้น (ดังได้แสดงไว้ในภาพแรก)

 

8 ชาติเกิดของยุคทอง (Golden Age)

            ดวงวิญญาณเกิด 8 ชาติในยุคทอง ช่วงระยะเวลาของยุคนี้ 1,250 ปี ซึ่งหมายความว่าอายุเฉลี่ยของมนุษย์ยุคนี้ประมาณ 150 ปี เป็นเพราะพลังความบริสุทธิ์ของดวงวิญญาณและของวัตถุธาตุนั่นเอง ดวงวิญญาณและธาตุธรรมชาติไม่เพียงแต่จะอยู่ในสภาวะที่สมบูรณ์พร้อมเท่านั้น แต่อยู่อย่างประสานกลมกลืนสมดุลระหว่างกันและกันอย่างสมบูรณ์ จำนวนประชากรมีจํากัดมาก ในตอนแรกแห่งยุคทองจะมีเพียง 900,000 คน คุณลักษณะของชีวิตในดินแดนแห่งนั้นมีแต่ความสงบ รุ่งเรืองและปีติสุขสูงสุด เป็นยุคของความสมบูรณ์เหลือล้น ที่เปรียบไว้ว่าเป็นช่วงของเวลาของน้ำนมและน้ำผึ้ง ยุคที่กฎสูงสุดมีความสมบูรณ์และมีระเบียบปรากฏอยู่ทั่วโลก(Divya Maryada) ความป่วยไข้ ความทุกข์ ความกังวลความโศกเศร้า ไม่เป็นที่รู้จัก ณ ที่นั้น ดวงวิญญาณมีสภาวะที่ปราศจากกิเลสโดยสิ้นเชิง มีความสมบูรณ์พร้อมที่แทนด้วย 16 องศาของพระจันทร์เต็มดวง นี่เรียกว่า สาโทปราทาน(Satopradhan-ความถูกต้องบริสุทธิ์สูงสุด)เป็นสภาวะของดวงวิญญาณที่อยู่ในยุคทอง ผู้คนในยุคนี้ถูก เรียกว่าเป็น เทพ (Devta Varan) ศรีลักษมีและศรีนารายัญแห่งสุริยราชวงศ์เป็นผู้ปกครองในช่วงยุคทอง

 

12 ชาติเกิดในยุคเงิน (Silver Age)

            จํานวนชาติเกิดทั้งหมดในยุคเงินคือ 12 ชาติ ในยุคนี้ 1,250 ปี อายุเฉลี่ยประมาณ 100 ปี ดวงวิญญาณในยุคนี้อยู่ในสภาวะที่ปราศจากกิเลสและสมบูรณ์พร้อมถึง 14 องศา เมื่อเปรียบเทียบกับ 16 องศาในยุคทอง สภาพนี้ถูกตั้งชื่อว่าเป็นสภาพ สาโทกูนี (Satoguni-ความถูกต้อง) ของดวงวิญญาณ ชีวิตยังเต็มไปด้วยความสุขและความปีติถึงแม้ว่าระดับจะน้อยกว่าเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับยุคทอง ศรีสีดาและศรีรามแห่งจันทรราชวงศ์เป็นผู้ปกครองในยุคเงิน ผู้คนในยุคนี้เป็นสกุลนักรบ (Kshatriya Varan) ด้วยเหตุนี้คันธนูจึงได้แสดงไว้เป็นเครื่องประดับของศรีราม นี่ไม่ได้หมายความว่ามีสงครามหรือมีความขัดแย้งในยุคเงิน เช่นเดียวกันกับยุคทอง ยุคเงินก็เต็มไปด้วยความสงบและความไม่มีความรุนแรงด้วยเช่นกัน เหตุผลที่ถูกเรียกว่านักรบเพราะในชาติสุดท้ายของวงจรโลก พวกเขามีความอุตสาหะที่จะมีชัยชนะเหนือกิเลสต่างๆ แต่พวกเขาก็ยังต้องต่อสู้กับมายาในขณะที่การทําลายล้างโลกเกิดขึ้นในตอนจบของกลียุค ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถได้รับสภาวะความบริสุทธิ์ (สูงถึง 16 องศา)เช่นเทพแห่งยุคทองที่ลงมาก่อนพวกเขา

อาณาจักรของราม และอาณาจักรของราวัน (Ram Rajya and Ravan Rajya)

            ดวงวิญญาณเกิดมาอย่างต่อเนื่องในยุคทองและยุคเงิน ซึ่งสองยุคนี้จะเป็นสภาวะของการหลุดพ้นจากบ่วงพันธะในขณะที่มีชีวิต ในยุคนี้รู้จักกันว่าเป็นสวรรค์ มันถูกเรียกว่าเป็นอาณาจักรของราม ซึ่งหมายถึงเป็นอาณาจักรที่เป็นสวรรค์ที่ก่อตั้งโดยพระเจ้า (คําว่า ราม ที่ใช้ ณ ที่นี่มีความหมายเหมือนกับพระเจ้าผู้ไร้ร่าง โดยเป็นประเพณีที่ฝึกปฏิบัติสืบทอดกันมาในชนหมู่ใหญ่ของผู้สักการะบูชาชาวฮินดู) ในครึ่งแรกของกัลปซึ่งมีระยะเวลา 2,500 ปี แม้แต่มนุษย์ทุกวันนี้ก็ร้องเพลงสรรเสริญอาณาจักรของราม หลังอาณาจักรของรามก็ตามมาโดยอาณาจักรของราวัน (Ravan Rajya) ประกอบด้วยยุคทองแดงและกลียุค มีชื่อเรียกว่า นรก นรกเป็นครึ่งหลังของกัลปมีระยะเวลา 2,500 ปีเช่นกัน สภาพที่มีอยู่ทั่วไปในอาณาจักรของราวันเป็นไปในทางตรงกันข้ามกับอาณาจักรของราม ช่วงเวลานี้ดวงวิญญาณที่เกิดมาอย่างต่อเนื่องในอาณาจักรของ ราวันก็อยู่ในสภาวะที่ชีวิตของพวกเขาติดบ่วงพันธะ

21 ชาติเกิดในยุคทองแดง (Copper Age)

            ในยุคทองแดงมรดกของพ่อผู้เป็นพระเจ้าแห่งสวรรค์ได้หมดไป และช่วงเวลาของนรกก็เริ่มขึ้น ผู้คนมีสํานึกเป็นร่าง กิเลสเริ่มปรากฏขึ้นความสงบ ความปีติและความสุขได้เริ่มหายไปทีละน้อยๆ ราชวงศ์ผู้ซึ่งมีมงกุฎสองชั้นของเทพและกษัตริย์ผู้ปกครองโลกก็ไม่ได้มีอยู่อีกต่อไป มีศาสนามากมายหลายอาณาจักร หลายผู้ปกครองและหลายภาษาปรากฏขึ้นตามกันมา ขณะที่เทพผู้ปกครองสวรรค์ผู้เคยมีมงกุฎสองชั้นและมีสมญานามว่าเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดหายไป ก็มีผู้ปกครองของยุคทองแดงมีเพียงมงกุฎที่ประดับด้วยเพชรเป็นสัญลักษณ์ของกษัตริย์ผู้มีสถานภาพที่ร่ำรวยทางวัตถุและเป็นตําแหน่งที่สูงของเขามาแทน พวกเขาไม่ได้มีมงกุฎที่สองของความบริสุทธ์ที่ซึ่งเป็นมงกุฎแห่งแสงและเป็นสัญลักษณ์ที่ศักดิ์สิทธิ์ มงกุฎแห่งแสงได้ไปปรากฏอยู่ที่ผู้นําศาสนา อย่างไรก็ตามผู้นําศาสนาก็ไม่ได้ครอบครองมงกุฎของความเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ด้วยเหตุนี้ ในยุคนี้มงกุฎของความศักดิ์สิทธิ์และมงกุฎของความสูงส่งได้ถูกแยกออกจากกัน หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ อํานาจทางศาสนา และอํานาจการปกครอง ได้แยกออกจากกัน 

            ในยุคทองแดงการบูชากราบไหว้ก็เริ่มขึ้น ผู้ที่เคยมีค่าควรแก่การบูชาเป็นเทพ บัดนี้ได้กลายเป็นผู้บูชากราบไหว้เพราะว่าพวกเขาไม่มีความบริสุทธิ์ คือ ไม่ได้เป็นผู้ที่ปราศจากกิเลสอีกต่อไป สภาวะของดวงวิญญาณจึงอยู่ในระดับปานกลาง ความบริสุทธิ์ลดลงเหลือ 8 องศา วรรณะของพวกเขาก็ต่ำลง พวกเขาถูกจัดอยู่ในวรรณะพ่อค้า(ชั้นที่สอง) ระยะเวลา 1,250 ปี ของยุคทองแดงดวงวิญญาณมนุษย์เกิด 21 ชาติ ช่วงอายุก็ลดลงไปด้วยตามลําดับ

42 ชาติเกิดในกลียุค (Iron Age)

            ในกลียุคหรือยุคเหล็กนั้น ดวงวิญญาณสูญเสียความบริสุทธิ์ที่เหลืออยู่ทั้งหมดอย่างรวดเร็ว สภาพ ทาโมกุนา (Tamoguna) ซึ่งหมายความว่าต่ำสุด อุปนิสัยที่ผิดได้กลับมามีอํานาจมากกว่า โลกได้แบ่งเป็นหลายร้อยรัฐ เป็นรัฐใหญ่และรัฐเล็ก เหล่ากษัตริย์ถูกชิงอํานาจหรือถูกตั้งไว้ให้เป็นผู้มีอํานาจแต่เพียงในนาม ระบบของรัฐบาลที่แพร่หลายคือ ประชาตันตระ (Praja Tantra) ซึ่งหมายความว่ารัฐบาลของประชาชนโดยประชาชน

            ในยุคนี้สภาพไร้กฎหมายปรากฏขึ้นสู่จุดสูงสุด สังคมทําตามอําเภอใจโดยปราศจากความอาย ผู้หญิงถูกตีค่าเป็นเพียงตุ๊กตาแห่งกามารมณ์ สภาพไร้ศีลธรรมขึ้นสู่จุดสูงสุด การบูชากราบไหว้ไปสู่สภาพที่ตกต่ำ และมีรูปแบบที่เสื่อมถอยที่สุด รูปปั้นของเทพและเทวีมากมายถูกทําขึ้นมาบูชากราบไหว้แล้วก็เอารูปปั้นเหล่านั้นไปทิ้งในแม่น้ำ ฯลฯ การบูชายัญด้วยสัตว์ต่างๆ โดยมนุษย์ได้ถูกจัดขึ้นเพื่อเป็นการขอโทษต่อเทพเจ้า กล่าวง่ายๆ คือความเชื่อที่มืดบอดปกคลุมไปทั่วทั้งโลก บุคคลในยุคนี้จัดอยู่ในประเภท ศูทร (Sudra) ซึ่งหมายถึงผู้คนที่มีกิเลสชั่วร้ายและหมายถึงสภาพจิตที่สกปรกต่ำต้อย “ศูทร” ถูกพิจารณาว่าเป็นผู้ที่ไม่ควรแตะต้อง เป็นเพราะพวกเขาได้รับเชื้อโรคร้ายของกิเลสทั้งห้าไว้อย่างมากมายแล้วพวกเขาก็นําไปติดผู้อื่น คนทั้งหมดของกลียุคได้รับผลกระทบจากกิเลสทั้งหลายในระดับที่แตกต่างกันไป พวกเขาก็ถ่ายทอดกิเลสให้แก่กันและกันเป็นอาจิณ ซึ่งก่อให้เกิดวงจรแห่งกิเลส คําว่า “ศูทร” (Sudra-ไม่ควรจะแตะต้องเป็นอันขาด) ถ่ายทอดความหมายของการมีกิเลสในตัวมนุษย์ไม่ใช่วรรณะ หรือผู้ที่มีอาชีพเป็นคนคุ้ยขยะ ในยุคเหล็ก 1,250 ปี ดวงวิญญาณเกิด 42 ชาติ อายุเฉลี่ยนั้นต่ำสุดในยุคนี้ การทําแท้ง การตายของทารก การตายจากอุบัติเหตุและการตายของเด็กที่เกิดก่อนกําหนดเป็นเรื่องปกติของทุกวันนี้

หนึ่งชาติในยุคแห่งการบรรจบพบกัน (The Confluence Age)

            ยุคแห่งการบรรจบพบกันเป็นยุคที่เชื่อมต่อระหว่างสวรรค์และนรก มันเหมือนกับช่วงเวลารุ่งสางที่เชื่อมกลางวันและกลางคืน สวรรค์ที่กําลังจะมาถึงถูกวางรากฐานในยุคนี้ ซึ่งจะตามมาหลังจากการทําลายล้างโลกที่ชั่วร้าย และผลคือการเปลี่ยนแปลงยุค ยุคแห่งการบรรจบพบกันเป็นยุคที่สําคัญที่สุดและเป็นช่วงเวลาที่เป็นสิริมงคลที่สุดในกัลป เนื่องจากมันเป็นเวลาของการอวตารที่สูงส่งของพระเจ้าพ่อชีว่าผู้ปราศจากร่าง ดวงวิญญาณมนุษย์ที่เกิดอีกครั้งหนึ่งในยุคนี้มีค่าเหมือนเพชร ดังนั้นยุคแห่งการบรรจบพบกันก็มีชื่อว่ายุคเพชรด้วย ช่วงสั้นๆนี้เป็นช่วงที่มนุษย์ผู้เต็มไปด้วยกิเลสเป็นมนุษย์ที่ไร้ค่าของกลียุค ได้เปลี่ยนไปเป็นมนุษย์ที่ปราศจากกิเลส เป็นเทพผู้ที่มีค่าเยี่ยงเพชรของยุคทอง ยุคแห่งการบรรจบพบกันอยู่ในช่วงท้ายของกลียุค สําหรับผู้ที่ได้รับความรู้ของพระเจ้ามันเป็นยุคบรรจบพบกันของเขา แต่สําหรับผู้ที่ไม่ได้รับความรู้ของพระเจ้ามันคือกลียุค ในภาพตัวอย่างของบันได แสดงให้เห็นว่าตอนจบของกลียุคมี บราห์มินนั่งฝึกปฏิบัติราชโยคะอยู่

บันไดและต้นไม้ของมวลมนุษย์

             โลกมนุษย์เปรียบเหมือนต้นไม้กลับหัว เมล็ดและรากนั้นอยู่ด้านบน กิ่งก้านสาขาและใบแผ่ปกคลุมสู่เบื้องล่าง เป็นโครงร่างที่แสดงให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ทั้งกัลป (วงจรโลก) ตั้งแต่ตอนต้นไปถึงตอนจบ มีชื่อเรียกว่า “ต้นกัลป” ต้นไม้โลก หรือ ต้นไม้พันธุกรรมของมวลมนุษย์ 

ต้นกัลป

            เมล็ดพันธ์ของต้นไม้ก็คือ พระเจ้าชีว่า ผู้สร้างนั่นเอง ท่านสถิตอยู่ในสถานที่สูงสุดซึ่งเรียกว่า พารามธรรม, โลกวิญญาณ หรือ ดินแดนนิพพาน ฯลฯ (ซึ่งมีชื่อเรียกอีกมากมายตามความเชื่อในแต่ละศาสนา) พระเจ้าชีว่าคือเมล็ดพันธุ์ที่มีชีวิต ผู้ซึ่งรู้ถึง ตอนเริ่มต้น ตอนกลางและตอนจบของพันธุกรรมมนุษย์โลก

            ส่วนรากของต้นไม้นั้นก็คือ บราห์มิน ผู้ที่เป็นเครื่องมือของพระเจ้าชีว่าในการสร้างสวรรค์ขึ้น ซึ่งสวรรค์นั้นประกอบไปด้วย 2 ยุคคือ ยุคทอง และยุคเงิน ซึ่งนับเป็นช่วงระยะเวลาครึ่งหนึ่งของลําต้นต้นไม้มนุษย์ โดยมีสุริยราชวงศ์ของศรีลักษมีและศรีนารายัญเป็นผู้ปกครองในยุคทอง และจันทรราชวงศ์ของศรีสีดาและศรีรามเป็นผู้ปกครองในยุคเงิน ช่วงเวลาของยุคทั้งสองนี้มีความพิเศษคือ การมีผู้ปกครองเดียว อาณาจักรเดียวและภาษาเดียวทั่วทั้งโลก เทพผู้ซึ่งเป็นผู้ปกครอง มีชื่อเรียกว่า “จักราวาติ” (Chakravarti)

            มีอํานาจปกครองทั่วทั้งโลก ในช่วงเวลาของยุคนี้ ศาสนาทั่วทั้งจักรวาลคือ ศาสนาเทพโบราณ (Adi Sanatan Devi Devta Dharma) เป็นศาสนาแรกและเก่าแก่ที่สุดของโลก ไม่มีศาสนาอื่นใด ณ เวลานั้น ความบริสุทธิ์ ความสงบและความมั่งคั่งมีอยู่ทั่วไปบนโลก    ทุกสิ่งในโลกอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์เลิศ เป็นเวลาที่คุณธรรมนั้นเบ่งบานปราศจากกิเลส เต็มไปด้วยความสนุกสนานและปราศจากความกลัว ไม่มีความรุนแรงปรากฏให้เห็นแม้แต่ในหมู่สัตว์ จึงมีคําเปรียบเปรยยุคทองว่า สิงห์โตและวัวดื่มน้ำจากแอ่งน้ำเดียวกัน อินเดียในอดีตกาลนั้นมีชื่อเรียกว่า “ภารัต” ดินแดน “นกกระจอกทองคํา”

 

ยุคทองแดง เริ่มต้นกําเนิดของศาสนาที่แตกต่างกัน

            ตอนปลายของยุคเงิน ดวงวิญญาณซึ่งมาจากสุริยราชวงศ์และจันทรราชวงศ์ หลังจากที่ได้ผ่านการเกิดมาหลายภพหลายชาติแล้ว ได้หลงลืมตัวตนที่แท้จริงว่า ตนเองคือดวงวิญญาณและได้เปลี่ยนจากสำนึกเป็นดวงวิญญาณกลับกลายมามีสํานึกว่าตัวเองนั้นคือร่างกายหยาบ ณ จุดนี้จึงเป็นการเริ่มต้นของยุคทองแดงขึ้น และเพราะจากการตกต่่ำของศาสนาเทพโบราณจึงทำให้เกิดศาสนาทางร่างอื่นๆแตกหน่อออกมาราวกับเป็นกิ่งก้านสาขาของต้นกัลป! และเวลาในยุคทองแดงนี้ผ่านไปไม่นาน… ก็มีดวงวิญญาณที่บริสุทธิ์ลงมาจากพารามธรรม(โลกวิญญาณ-บ้านของดวงวิญญาณทั้งหมด) เพื่อมาเล่นบทบาทเป็นผู้ก่อตั้งศาสนาที่แตกต่างทั้งหลายบนโลกที่ได้เห็นอยู่ในปัจจุบัน ดวงวิญญาณผู้ก่อตั้งศาสนาที่ลงมาบนโลกคือ

     อับบราฮัม ผู้ก่อตั้งศาสนาอิสลาม
     พระพุทธเจ้า ผู้ก่อตั้งศาสนาพุทธ
     พระคริสต์ ผู้ก่อตั้งศาสนาคริสต์เตียน
     พระสังฆราจารย์ ผู้ก่อตั้งศาสนาซานยาส และ
     พระโมฮัมเหม็ด ผู้ก่อตั้งศาสนามุสลิม
     ศาสนาฮินดู ไม่มีผู้ก่อตั้งศาสนา

            เมื่อเหล่าเทพสูญเสียความบริสุทธิ์และคุณธรรมที่สูงส่งไป พวกเขาก็ไม่ได้เป็นเทพอีกต่อไปและได้ชื่อใหม่ว่า “ฮินดัส” คนกลุ่มนี้เดิมทีเป็นผู้ที่นับถือศาสนาเทพ(ฮินดู) ต่อมาได้กระจัดกระจายไปนับถือศาสนาที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ของโลก ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ภายหลังดวงวิญญาณที่มีบทบาทมาเล่นบทผู้ก่อตั้งศาสนาได้ลงมาจากพารามธรรม(โลกวิญญาณ)แล้ว ก็จะตามมาด้วยดวงวิญญาณอื่นๆอีกมากมายที่จะตามลงมาเพื่อเล่นบทบาทนับถือศาสนาตามผู้ก่อตั้งเหล่านั้น นี่คือเหตุผลที่ศาสนาต่างๆเจริญเติบโตขึ้นได้อย่างไร และคัมภีร์ของศาสนาทั้งหลายก็ถูกเขียนขึ้นตามหลังมาในยุคทองแดงนี่เอง

คัมภีร์สําคัญๆ สี่คัมภีร์ คือ
   1. ศรีมัต ภควัต กีตะ กีตะ ของศาสนาฮินดู (Shrimad Bhagwad Gita of Hinduism)
   2. คัมภีร์ไบเบิ้ล ของศาสนาคริสต์ (Bible of Christianity)
   3. คัมภีร์ไตรปิฎก ของศาสนาพุทธ (Dhampad)
   4. คัมภีร์กูรอาน ของศาสนาอิสลาม (Quoran of Islam) 

            คัมภีร์ทั้งหลายเหล่านี้ไม่ได้ถูกเขียนขึ้นโดยผู้ก่อตั้งศาสนาเองเลย แต่ถูกเขียนขึ้นโดยสาวกทั้งหลายภายหลังที่ผู้ก่อตั้งได้สิ้นบทบาทไปแล้ว สภาวะในยุคทองแดงทุกสิ่งจะอยู่ในสภาพปานกลาง (Rajoguni) ประชากรโลกซึ่งเคยมีน้อยมากในตอนเริ่มต้นยุคทอง ในยุคทองแดงก็จะค่อยๆเพิ่มทวีขึ้น สวรรค์ที่เคยเป็นหนึ่งเดียว มีเพียงศาสนาเดียว อาณาจักรเดียว มีผู้ปกครองเดียวและภาษาเดียว กลับกลายไปสู่ความแตกแยก มีศาสนาหลายศาสนา มีหลายอาณาจักร ราชวงศ์ผู้ปกครองก็มีหลายราชวงศ์และหลายภาษา ความสอดคล้องกลมกลืนของการอยู่ร่วมกันแตกกระจายไปสู่ความไม่ปรองดองกัน เกิดการแข่งขัน ความขัดแย้ง ความไม่เป็นหนึ่ง และนำไปสู่สงคราม!

การเสื่อมของต้นไม้มนุษย์

            กลียุค คือยุคที่จะติดตามมาหลังจากยุคทองแดง กิ่งและก้านปรากฏบนต้นกัลปมากขึ้น ศาสนาหนึ่งที่เป็นจุดสังเกตได้ของกลียุคก็คือ การเกิดของศาสนาซิกซ์ซึ่งก่อตั้งโดย กูรูนานาค(Nanak) ศาสนาทั้งหลายที่เกิดขึ้นมาแล้วนั้น หลังจากผ่านสภาวะต่างๆมาจนถึงสภาวะสุดท้ายซึ่งเป็นสภาวะที่ตกต่ำที่สุด สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือการแบ่งแยก แตกแยกไปเป็นลัทธิ นิกาย นิกายย่อยๆ สมาคม และสํานักต่างๆมากมาย ทุกสิ่งไปสู่สภาพที่ไม่บริสุทธิ์อย่างขีดสุด (Tamoguni) นั่นคือ ความตกต่ำเลวทรามเต็มไปด้วยกิเลส กิเลสทั้งห้ามีพลังควบคุมเหนือจิตมนุษย์      ความมืดมิดแผ่ซ่านไปทุกหนแห่ง ผู้คนชั่วร้ายเลวทราม สถานภาพของเพศหญิงถูกกดขี่ให้ต่ำต้อย และถูกกําหนดให้เป็นเพียงสิ่งที่เอาไว้ปลดเปลื้องกามราคะ ระบบการปกครองโดยกษัตริย์กลับถูกยึดอํานาจ มาสู่การปกครองโดยประชาชน(ประชาธิปไตย-สาธารณรัฐ)

            ความคิดที่แตกแยกคืบคลานเข้ามาสู่ครอบครัว ความไม่ชอบธรรมไร้ซึ่งศาสนา ความเห็นแก่ตัว การหักหลัง ใส่ร้ายป้ายสี คดโกง ติดสินบนฉ้อราษฎร์บังหลวง ความอยุติธรรมลําเอียงจากความเป็นพี่น้องเครือญาติให้ได้รับสิทธิพิเศษเข้ามาเกาะกุมสังคมมนุษย์ เต็มไปด้วยความป่าเถื่อนเสียยิ่งกว่าสัตว์มีอยู่ทั่วทุกหัวระแหง เกิดความหายนะตามธรรมชาติเพิ่มทวีขึ้น โรคภัยไข้เจ็บ การตายก่อนเวลาอันควร อุบัติเหตุ ความไม่ปลอดภัยและองค์ประกอบอื่นๆอีกนับไม่ถ้วน เป็นเหตุทําให้ชีวิตมนุษย์เต็มไปด้วยความทุกข์ ทรมานจนไม่อาจบรรยายได้ ความแตกแยกแผ่ขยายออกไปทั่วโลกจนถึงจุดสูงสุด นำไปสู่สถานการณ์ของสงครามกลางเมือง สงครามภูมิภาคและสงครามโลก!

ยุคแห่งการบรรจบพบกันที่เป็นสิริมงคล

            เมื่อมาถึงจุดจบที่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าของกลียุค พระเจ้าพ่อชีว่าท่านจงลงมาเพื่อวางรากฐานของสวรรค์โดยผ่านประชาปิตาบราห์มา โดยใช้เวลาในยุคสั้นๆ ซึ่งอยู่ระหว่างจุดจบของกลียุคและจุดเริ่มต้นของยุคทอง(สัตยุค) ซึ่งยุคสั้นๆ เพียงหนึ่งชาติเกิดนี้ถูกเรียกว่า “ยุคแห่งการบรรจบพบกันที่เป็นสิริมงคล” หรือ Sangam Yuga โดยพระเจ้าจะอวตารลงมาในร่างของมนุษย์ผู้หนึ่ง ซึ่งพระเจ้าชีว่าตั้งชื่อท่านว่า “ประชาปิตาบราห์มา” แล้วพระเจ้าก็สร้างบราห์มินให้เกิดขึ้นโดยให้ความรู้ของพระเจ้าผ่านการสอนโดย ท่านบราห์มา ในรูปของต้นกัลป บราห์มินถูกแสดงไว้ว่ากําลังนั่งสมาธิภายใต้ลําต้น นั่นคือส่วนที่เป็นรากของต้นไม้ ดังนั้นบราห์มิน ก็คือรากของต้นกัลป

            ในยุคแห่งการบรรจบพบกัน (Sangam Yuga) บราห์มินคือหน่อและต้นอ่อนของอารยธรรมในโลกยุคใหม่ ซึ่งมนุษย์จะมีความสนุกเพลิดเพลินภายในอย่างผสมกลมกลมกลืนสู่ภายนอก เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมและศีลธรรม มีแต่ความยุติธรรม ความมั่งคั่ง สุขภาพดีเลิศ ไร้ซึ่งความขัดแย้ง ไร้การสูญเสีย ไร้ความอิจฉาริษยาและความยะโสทรนง

การทําลายล้างความชั่วร้ายทั้งหมด

            นี่เป็นเวลาจุดจบของกลียุค เป็นเวลาแห่งการทําลายล้างทุกสิ่งที่ชั่วร้าย กิเลสจะถูกทําลายโดยสงครามกลางเมือง จากความหายนะทางธรรมชาติ จากอาวุธนิวเคลียร์ซึ่งสร้างโดยน้ำมือของมนุษย์เอง เพื่อมาทําลายล้างซึ่งกันและกัน ความชั่วร้ายจะถูกทําลายด้วยตัวของมันเอง หากดูภาพในรูปของต้นกัลป ภาพจะแสดงให้เห็นมหาอํานาจทางนิวเคลียร์ทั้งสองฝ่าย เปรียบเทียบให้เห็นเป็นแมวป่าสองตัวต่อสู้กันเพื่อยื้อแย่งอำนาจในการปกครองโลก และการต่อสู้ก็ขยายตัวมากขึ้น นำไปสู่การต่อสู้ครั้งสุดท้ายระหว่างธรรมและอธรรมก่อนวันพิพากษา ด้วยพลังอำนาจการทำลายล้ายของระเบิดนิวเคลียร์

อะไรเกิดขึ้นหลังการทําลายล้าง?

            ในสงครามนิวเคลียร์ซึ่งเป็นสงครามล้างโลก ก็จะตามมาด้วยความหายนะทางธรรมชาติ มวลมนุษย์เกือบทั้งหมดถูกทําลาย ดวงวิญญาณทั้งหมดคืนสู่พารามธรรม(โลกวิญญาณ) ภายหลังจากที่ได้รับการลงโทษในบาปที่แต่ละดวงวิญญาณได้กระทําไว้โดยผ่าน ธรรมราช (Dharamraj) คือผู้ชี้ขาดสูงสุด โลกไม่ได้ถูกทําลายโดยสิ้นเชิง มันถูกเปลี่ยนแปลงสภาวะใหม่หลังจากการทําลายล้างความชั่วร้ายจบสิ้นลงแล้วสวรรค์ก็จะถูกสร้างขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ดวงวิญญาณที่ได้รับการชําระให้บริสุทธิ์แล้ว ซึ่งก็คือ บราห์มินที่แท้จริงที่ฝึกฝนเพียรปฏิบัติในช่วงยุคแห่งการบรรจบพบกันนั่นเอง ที่จะเป็นผู้ซึ่งกลับมาเกิดเป็นเทพของยุคทองอีกครั้ง มีชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุขหลายชั่วอายุ ณ เวลานี้เราอยู่ในยุคแห่งการบรรจบพบกันที่เป็นสิริมงคล ซึ่งบัดนี้เหลือเวลาอีกเพียงเล็กน้อย ภารกิจในการทําลายล้างโลกกิเลสนั้นชัดเจนอยู่เบื้องหน้าแล้ว ดังนั้น บัดนี้จงพยายามอย่างที่สุดที่จะกลับกลายมาเป็นเทพ เหมือนศรีลักษมีหรือศรีนารายัญ มิฉะนั้นก็จะสายเกินไป!